ความจริงของแคลเซี่ยมช่วยเพิ่มความสูงได้จริงหรือ ?

บ่อยครั้งที่คุณแม่วิตกกังวลกับความสูงของเจ้าตัวน้อย แคลเซียมเป็นสิ่งแรกที่คุณแม่นึกถึงและพยายามติดตามข่าวสารเพื่อที่จะนำมาให้ลูกน้อยรับประทานเพื่อเพิ่มความสูง เราลองมาดูบทความนี้กันนะคะว่า ความจริงเป็นเช่นไร แคลเซียมช่วยเพิ่มความสูงจริงหรือไม่ 

 แคลเซียมคืออะไร

แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟันในเด็กและวัยรุ่น อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและชะลอการเกิดโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุและวัยหมดประจำเดือน แคลเซียมจำเป็นสำหรับร่างกายในการทำหน้าที่ต่างๆ เช่น เป็นตัวนำกระแสประสาทควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ มีผลต่อการเต้นของหัวใจ ดังนั้นจึงเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกายมาก

ควรเริ่มรับประทานแคลเซียมเมื่อไหร่

เป็นที่ทราบกันดีว่าแคลเซียมมีประโยชน์ในการป้องกันโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นอาการที่มักจะเกิดเมื่ออายุล่วงเลยเข้าสู่วัยทองแล้ว ทำให้บางคนเข้าใจผิดว่าควรรับประทานแคลเซียมเสริมเมื่ออายุมากแล้วเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วถ้าเราต้องการให้กระดูกแข็งแรงและร่างกายยืดตัวเต็มที่ ต้องมั่นใจว่าร่างกายได้รับแคลเซียมเพียงพอตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่ด้วย

คุณทราบหรือไม่ว่าเนื้อกระดูกของคนปกติจะมีการสร้างและทำลายอยู่ตลอดช่วงชีวิต การสร้างกระดูกจะมากกว่าการทำลายในช่วงต้นของชีวิต คือวัยเด็กถึงวัยรุ่นนั่นเอง ซึ่งส่งผลให้มีการเจริญเติบโต ยืดตัวและเพิ่มความสูงได้ ถ้าขาดแคลเซียมในวัยนี้อาจทำให้ตัวเล็ก แคะแกร็นได้เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่อัตราการสร้างเท่ากับการสลาย ความสูงของร่างกายก็จะคงที่ ในที่สุดเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ การสลายจะมากกว่าการสร้าง

เท่าไร…จึงจะเพียงพอ

วัยรุ่นทั้งหญิงและชายต่างก็ต้องการแคลเซียมวันละ 1,200 มก. ต่อวันจากการวิจัย โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ พบว่าคนไทยโดยเฉลี่ย (mean) ได้รับแคลเซียมจากอาหาร 400 มก. ต่อวัน แต่ค่าที่คนไทยส่วนใหญ่ (mode) ได้รับแคลเซียมจากอาหารมีประมาณ 200 กว่ามก. ต่อวันเท่านั้น แล้วคุณจะสามารถชดเชยส่วนที่ขาดได้อย่างไร

เป็นที่ยอมรับกันว่านมเป็นอาหารที่มีแคลเซียมสูง นม 1 แก้ว หรือ 1 กล่อง ให้แคลเซียมประมาณ 250 มก. ถ้าคุณดื่มนมเป็นประจำวันละ 2-3 แก้ว ก็ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าได้รับแคลเซียมเพียงพอกับความต้องการในแต่ละวัน แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบดื่มนม กลัวอ้วนเนื่องจากไขมันที่มากับนม ดื่มนมแล้วท้องเสีย ไม่มีเอนไซม์ (enzyme) ย่อยนมหรือดื่มนมได้น้อย ก็ใช่ว่าคุณจะหมดโอกาสสูงซะทีเดียว (เนื่องจากขาดแคลเซียม) ปัจจัยที่มีผลต่อความสูง

ความสูงไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ขึ้นกับองค์ประกอบหลายอย่าง ได้แก่ กรรมพันธุ์ อาหารที่รับประทาน การออกกำลังกาย และปริมาณแคลเซียมที่ได้รับกรรมพันธุ์เป็นเพียงปัจจัยเดียว ที่คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ปัจจัยที่เหลือล้วนเป็นสิ่งที่คุณสามารถปรับเปลี่ยนได้ ถ้าจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่คุณขาดอยู่ คือทำอย่างไรให้ได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอเรามีทางเลือกให้คุณใหม่ แร่ธาตุมีผลต่อการเจริญเติบโตของกระดูก นอกจากแคลเซียมแล้ว มีการทดลองบ่งชี้ว่า ยังมีแร่ธาตุอีก 5 ชนิด ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของกระดูกและการสร้างกระดูกให้แข็งแรงในช่วงวัยรุ่น

แร่ธาตุ และ หน้าที่ 

1. แมกนีเซียม จำเป็นในการทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง 
2. สังกะสี จำเป็นสำหรับการพัฒนาของกระดูก 
3. ทองแดง จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างกระดูก 
4. แมงกานีส มีบทบาทในขบวนการซ่อมแซมกระดูก 
5. โบรอน ช่วยควบคุมการใช้ประโยชน์จากแคลเซียมของร่างกาย 

การอ่านฉลากของแร่ธาตุแคลเซียม

กรุณาดูให้ดีก่อนเลือกซื้อ เนื่องจากผลิตภัณฑ์บางชนิดโฆษณาว่ามีแคลเซียมสูง แต่พอไปดูจริงๆกลับพบว่ามีปริมาณแคลเซียมนิดเดียว บางตัวก็ไม่ได้ระบุปริมาณแร่ธาตุแคลเซียมในฉลากกลับระบุเป็นเกลือแคลเซียม เช่น ระบุเป็น Calcium citrate, Calcium lactate, Calcium gluconate ซึ่งถ้าอ่านผ่านๆ อาจคิดว่าปริมาณที่ระบุในฉลากเป็นปริมาณธาตุแคลเซียม ทั้งนี้เกลือแคลเซียมแต่ละชนิดก็ให้ปริมาณธาตุแคลเซียมไม่เท่ากัน จึงควรคำนวณเสียก่อนว่าเกลือแคลเซียมนั้นๆ ให้ธาตุแคลเซียมเท่าใด ซึ่งคุณสามารถคำนวณเองได้จากตารางข้างล่าง เช่น ในฉลากเขียนว่าแคลเซียมคาร์บอเนต 1500 มก. จากตารางพบว่าให้ธาตุแคลเซียม 40% ดังนั้น ยาเม็ดนี้จะให้ธาตุแคลเซียม 600 มก.

ไปหน้าแรก  เคล็ดลับสุขภาพดี



สารไซลิทอลจากหมากฝรั่งช่วยป้องกันฟันผุได้

เป็นที่ทราบกันดีว่า การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันอย่างเคร่งครัดจะช่วยลดปัญหาฟันผุได้ ซึ่งทันตแพทย์สาวสวย อย่าง ‘พอลลีน ล่ำซำ’ กล่าวถึงวิธีดูแลสุขภาพช่องปากและฟันไว้ในงานเปิดตัวหมากฝรั่งลอตเต้ ไซลิทอล ว่า เพียงแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง คือ หลังตื่นนอนและก่อนเข้านอน ถ้าจะให้ดีควรแปรงฟันทุกครั้งหลังมื้ออาหาร อีกทั้งยังต้องใช้น้ำยาบ้วนปากที่ผสมฟลูออไรด์ช่วยขจัดคราบและลดกลิ่น รวมทั้งใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความสะอาดซอกฟันที่ขนแปรงไม่สามารถซอกซอนเข้าถึงได้ ที่สำคัญทุกคนควรเข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันปีละ 2 ครั้ง


ทพญ.พอลลีน ยังแนะนำวิธีดูแลสุขภาพฟันเพิ่มเติมด้วยว่า ในชีวิตประจำวัน หลายคนอาจไม่สะดวกพกแปรงสีฟันไปทำความสะอาดฟันหลังมื้ออาหาร แต่ก็สามารถขจัดสิ่งสกปรกในช่องปากได้ด้วยการเคี้ยวหมากฝรั่งที่มีส่วนผสมของสารไซลิทอล อย่างน้อย 50% เพราะสารดังกล่าวสามารถลดปริมาณแบคทีเรียตัวร้ายในช่องปากได้

หมากฝรั่งที่มีส่วนผสมของสารไซลิทอล เมื่อเคี้ยวบ่อย ๆ ยังสามารถลดการเกิดแผ่นคราบจุลินทรีย์หรือคราบหินปูน ซึ่งเกาะติดตามฟัน โดยสารไซลิทอลจะเข้าไปลดจำนวนคาร์โบไฮเดรตที่ไม่สามารถละลายน้ำได้ และเพิ่มจำนวนคาร์โบไฮเดรตที่สามารถละลายน้ำได้ ส่งผลให้คราบจุลินทรีย์หรือหินปูนน้อยลง กำจัดออกได้ง่ายด้วยการแปรงฟัน

นอกจากนี้สารไซลิทอลยังกระตุ้นการเกิดกระบวนการสะสมแร่ธาตุคืนกลับ มีการหลั่งน้ำลายมากขึ้น ลดความเป็นกรดในช่องปาก และลดการสูญเสียแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบของเนื้อฟัน อย่าง แคลเซียม ฟอตเฟส 

อย่างไรก็ตาม สารให้ความหวานไซลิทอล ยังเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะการสันดาปหรือย่อยสลายของไซลิทอล ไม่ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนอินซูลิน

สารอาหารที่สำคัญสำหรับมนุษย์งาน

เคยได้ยินคำ ว่า "กองทัพเดินได้ด้วยท้องไหมคะ" ความหมายก็คือ คนเราในแต่ละวันทำงานนั้น ไม่ว่าชาติใดภาษาใด ต้องดูแลให้ท้องอิ่มก่อนก็จะสามารถประกอบการงานต่างๆ ได้อย่างลุล่วง 


โดยวันหนึ่งนั้นสำหรับกลุ่มคนทำงานที่ไม่ได้เป็นงานการใช้แรงกายหนักๆ แล้วล่ะก็ความต้องการพลังงานหากคิดเป็นตัวเลขออกมา จะอยู่ที่ 1,250-1,500 กิโลแคลอรีต่อวัน ซึ่งถ้าได้รับพลังงานตามนี้ สมองเราก็จะแจ่มใสมีสมาธิดี ดังนั้นไม่ควรให้น้อยไปกว่านี้ และในทางตรงกันข้ามก็ไม่ควรรับประทานให้มากเกินไป ไม่ต้องคิดเผื่อเรื่องสะสมพลังงาน เพราะว่ามันจะไม่แปรเป็นพลังงาน แต่จะเป็นไขมันให้เราต้องเผชิญกับอาการอ้วนแทน

ถ้าลองยกตัวอย่างกันคร่าวๆ การรับประทานใน 1 วัน เพื่อให้ได้พลังงาน 1,250-1,500 กิโลแคลอรีนั้น หน้าตาอาหารของเราต่อวันจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง มาดูหมวดแป้งกันก่อน ไม่ว่าจะเลือกรับประทานข้าว ขนมปัง หรือแป้งชนิดใด ควรอยู่ที่ประมาณ 5-6 ทัพพี หรือแผ่น นม 1 แก้ว ผักสดผักต้ม 3-4 ทัพพี น้ำตาลไม่เกินวันละ 1 ช้อนโต๊ะ เนื้อสัตว์ 6-8 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืชปรุงอาหารไม่เกิน 3 ช้อนชา ผลไม้ น้ำ วันละ 8 แก้วเป็นอย่างน้อย

ส่วนคนที่ต้องใช้สมองมากๆ ก็ต้องเลือกสรรอาหารให้เหมาะเพื่อไปบำรุงสมองด้วย พวกข้าวแป้ง ต้องเลือกแบบที่ผ่านกระบวนการขัดสีให้น้อยที่สุด เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต รวมไปถึงน้ำตาลควรเลือกนำตาลทรายแดงมากกว่า เพราะสิ่งที่สมองต้องการก็คือวิตามินและแร่ธาตุทั้งหลายส่วนอาหารเสริมนั้น แทบจะไม่จำเป็นสำหรับผู้ที่รับประทานอาหารได้ตามปกติ ถ้าเป็นในกรณีเจ็บป่วย เบื่ออาหาร รับประทานอะไรไม่ลง นั่นจึงจะเป็นเวลาของเหล่าอาหารเสริม

คราวนี้ลองมา ดูแบบเจาะลึกลงว่าคนทำงานควรได้รับสารอาหารใดบ้าง และก็อย่าลืมว่าต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขอย่ามากและอย่าน้อยเกินความต้องการ พลังงานในแต่ละวัน

1. ข้าวกล้อง ข้าวกล้องมีวิตามินบีและอีสูง เพิ่มพลังสมองในการทำงาน ป้องกันโรคเหน็บชาที่คนนั่งโต๊ะทำงานนานๆ มักจะเป็นกัน แถมยังป้องกันโรคสมองเสื่อมในอนาคตได้ด้วย

2. วิตามินบี มีอีกชื่อหนึ่งว่า "สารให้ความกระปรี้กระเปร่า" มีอยู่ในข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต จมูกข้าว ถั่ว เมล็ดทานตะวัน นม กล้วยส้ม เป็นต้น คนที่ทำงานนานจนล้าห้ามพลาด

3. วิตามินซี ที่อยู่ในผักและผลไม้ เช่น ฝรั่ง สตรอเบอร์รี น้ำส้มคั้น มะละกอ บรอกโคลีกะหล่ำปลี ถั่วงอก ฯลฯ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากในการสร้างฮอร์โมนระงับความเครียด จะได้ทำงานอย่างสดใสไปทั้งวัน

4. น้ำมันปลา หรือโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ไขข้ออักเสบ ช่วยลดอาการปวดรอบเดือนและระงับอาการซึมเศร้า เบื่อหน่ายจากการทำงานได้ด้วย

5. ผักใบเขียว อย่าง ตำลึง คะน้า เป็นอาหารกลุ่มโครินที่มีวิตามินบี ซึ่งช่วยเพิ่มความจำและสมาธิ

6. ดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน เพื่อป้องกันอาการอ่อนเพลีย และการเป็นตะคริวจากการนั่งหรือยืนนานๆแถมยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ด้วย คนที่ทำงานในห้องแอร์ตลอดวันยิ่งควรดื่มบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ผิวแห้ง

7. น้ำใบบัวบก ทำงานมาทั้งวันช่วงบ่าย ก็คงจะเพลีย ขอแนะนำให้ดื่มน้ำใบบัวบกเพราะเป็นน้ำเพิ่มพลังชั้นยอดเป็นยาบำรุงแก้อ่อน เพลียช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เสริมสร้างความจำและช่วยให้สมองทำงานได้ดีด้วย

8. รับประทานของหวานหลังอาหารกลางวัน จะคงความสดชื่นได้ยาวนานขึ้น เพราะรสเปรี้ยวและรสหวานนั้นจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นในร่างกาย ยิ่งตอนบ่ายๆ อาจจะง่วง ผลไม้รสเปรี้ยวคือคำตอบของคุณ ไม่ว่าจะเป็นมะม่วงหรือผลไม้ตระกูลเบอร์รีต่างๆ จะกระตุ้นให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นได้

9. ถั่ว คนที่ต้องใช้สายตาเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรืองานที่ต้องใช้สายตานานๆ ควรมีถั่วติดโต๊ะไว้ด้วย เพราะถั่วมีวิตามินบี 2 บำรุงสายตาได้ดี

10. ธาตุเหล็ก ผู้หญิงขาดไม่ได้เพราะเวลาที่มีรอบเดือนร่างกายจะขาดธาตุเหล็ก ทำให้เหนื่อยง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ ช่วงนั้นของเดือนจึงเป็นเวลาที่สาวๆ ต้องการธาตุเหล็กมากๆ และควบคู่ไปกับวิตามินซีจะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายได้ดี ขึ้น

11. ดื่มน้ำผลไม้ 1 แก้ว ยิ่งก่อนดื่มกาแฟควรดื่มน้ำผลไม้ก่อน 1 แก้วเพราะการดื่มกาแฟโดยที่ไม่มีอะไรรองท้องจะตาตื่นอยู่ไม่เท่าไหร่ หลังจากนั้นจะกลับมาง่วงเหมือนเดิม โดยกาแฟนั้นไม่ควรดื่มเกิน 3 แก้วต่อวัน เพื่อไม่ให้ได้รับกาเฟอีนมากเกินไป

นอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับควรจำ คือ

ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัดในมื้อเช้า เพราะในตอนเช้าร่างกายของเรายังปรับตัวไม่ทันกับรสชาติเผ็ดร้อนเช้าๆ ควรเป็นอาหารรสกลางๆ จะดีกว่า

งดชากาแฟในเวลาเย็น เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับ ส่งผลให้สมองพักผ่อนไม่เพียงพอ พอตื่นขึ้นมาสมองก็จะล้า คิดอะไรไม่ออกทำงานได้ไม่เต็มที่

หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มและมันจัดในมื้อเที่ยง เพราะอาหารที่มีไขมันสูงหรือเค็มจะทำให้เกิดการสะสม มีผลให้ร่างกายเคลื่อนไหวช้า ขาดความคล่องตัว

อย่างไรก็ตาม พึงระลึกไว้เสมอว่าต่อให้อาหารคุณภาพดีเพียงใด แต่ถ้าทำงานโดยไม่คำนึงถึงเรื่องการพักผ่อนเลย อาหารก็คงช่วยไม่ได้ ต้องแบ่งเวลาสำหรับการพักผ่อนและวางปัญหาเรื่องเครียดลงบ้างในบางเวลาด้วย

ไปหน้าแรก  การดูแลสุขภาพ



การดื่มกาแฟมีผลดีกับผู้หญิง แต่ผู้ชายกลับตรงกันข้าม

ผลการศึกษาพบว่า การดื่มกาแฟช่วยเพิ่มพลังสมองในภาวะตรึงเครียดของผู้หญิงแต่สำหรับผู้ชายกลับเป็นสิ่งตรงกันข้าม

การจิบกาแฟจะช่วยส่งเสริมประสิทธิ์ภาพในการทำงาน แต่ในผู้ชายนั้นกลับลดความจำและทำให้การตัดสินใจช้าลง ชาวอังกฤษดื่มกาแฟโดยประมาณ 70 ล้านถ้วยต่อวัน ซึ่งมีความหมายสำคัญ นักวิจัยกล่าว 
  
นักจิตวิทยา ดร.ลินเซต์ เซนต์ คาร์ไรท์ กล่าวว่า การประชุมจำนวนมากนั้นรวมพวกมันเขาไปด้วย เพราะคาเฟอีนเป็นสิ่งเสพติดที่เผยแพร่อยู่ทั่วโลก  
  
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย บริสตอลได้ตรวจสอบสิ่งที่กาแฟส่งผลต่อร่างกายเมื่ออยู่ในภาวะการที่ตึงเครียด พวกเขาคัดเลือกชายหญิงจำนวน 64 คน และจับคู่ในเพศเดียวกัน และมอบหมายให้ทั้งคู่ต้องออกไปเจรจาต่อลอง และทดสอบความจำ ต่อมาได้บอกภายหลังว่าให้นำเสนองานกับสาธารณะชน ครึ่งหนึ่งของจำนวนคู่จะได้รับกาแฟที่ปราศจากคาเฟอีน และที่เหลือได้นับกาแฟที่มีคาเฟอีน 
  
ผลปรากฎว่าผู้ชายที่ได้ดื่มกาแฟที่มีคาแฟอินจะมีความจำที่ถดถอย แต่ผู้หญิงที่ได้รับกาแฟปราศจากคาเฟอินจะใช้เวลาในการแก้ปัญหานานกว่าประมาณ 20 วินาที เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ได้รับกาแฟที่มีคาแฟอินจะแก้ปัญหาได้เร็วขึ้นกว่า 100 วินาที  จากวารสารสังคมจิตวิทยาประยุกต์ 
  
การศึกษาก่อนหน้านี้ได้ชี้ให้เห็นว่ากาแฟสามารถการป้องกันโรคเบาหวาน สมองเสื่อม โรคตับและโรคเก๊าต์ได้ 

ไปหน้าแรก  เคล็ดลับสุขภาพดี



10 อาการเตือนภัยบ่งบอกโรคอัลไซเมอร์

สมาคมโรคอัลไซเมอร์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาได้กล่าวถึง 10 อาการเตือนภัยที่เราควรระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าผู้สูงอายุมีอาการเหล่านี้บ่อยๆ และมีผลต่อการดำเนินชีวิต ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ควรรีบพามาปรึกษาแพทย์


 1. อาการหลงลืม (memory loss)
ต้องบอกว่า อาการหลงลืมของอัลไซเมอร์นั้น ระยะแรกจะหลงลืมในสิ่งที่ผ่านมาไม่นาน หรือพึ่งเกิดขึ้น (เรียกว่า recent memory) เช่น วางของไว้ที่ไหน เมื่อวานเย็นไปกินข้าวกับใครที่ไหน อาทิตย์ก่อนใครมาเยี่ยม เดือนก่อนไปเที่ยวต่างจังหวัดที่ไหน ส่วนความจำเกี่ยวกับเรื่องเก่า ๆ นั้นมักจะหลงลืมก็ต่อเมื่ออาการเป็นสมองเสื่อมขั้นรุนแรง (severe dementia) แล้วเท่านั้น
ผู้ป่วยสมองเสื่อมจำนวนมากมักจะการถามอะไรซ้ำ ๆ เช่นถามว่า พรุ่งนี้จะไปไหนกัน ..... เว้นไปห้านาที ก็ถามใหม่ว่าพรุ่งนี้จะไปไหนกัน .... บางคนถามคำถามเดิมเป็นสิบ ๆ ครั้ง เพราะ จำไม่ได้ว่าถามไปแล้ว 

2. ทำกิจวัตรประจำวันที่เคยทำมาไม่ได้ (Difficulty performing familiar tasks)
โดยจะเริ่มจากการทำกิจวัตรที่เคยทำที่ซับซ้อนไม่ได้ (เรียก instrumental activities of daily living)ผู้ป่วยอัลไซเมอร์คนหนึ่ง เป็นอาจารย์สอนใมหาวิทยาลัย ซึ่งสอนวิชาเคมี โดนสอนวิชานี้มานานหลายปีแล้ว เป็นประจำ แต่บัจจุบันมีปัญหาสอนไม่ได้ ... เวลาที่ขึ้นไปพูดหน้าห้อง นึกไม่ออก พูดได้แค่ตามที่เขียนใน power point นอกนั้นไม่สามารถอธิบายเพิ่มเติมได้ ทั้ง ๆ ที่สอนเหมือนเดิมมาหลายปีแล้ว เมื่อนักศึกษาถามก็ตอบไม่ถูกแม่บ้านที่ทำอาหารมาตลอดและทำได้อร่อย ....ลูก ๆ เริ่มสังเกตุว่ารสชาติอาหารเปลี่ยนไป ไม่อร่อยเหมือนเคย ... บางครั้งปรุอาหารผิด เช่นใส่ใบโหระพา แทนใบกระเพราในผัดกระเพราและเมื่อาการเริ่มเป็นมาก จะทำกิจวัตรประจำวันง่าย ๆ ไม่ได้ (basic activities of daily living)กิจวัตรประจำวันง่าย ๆ นี่เช่น การทำอาหาร การกินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน การแต่งตัว ก็จะทำเองไม่ได้

3. มีปัญหาในการใช้พูดหรือใช้ภาษา (Problems with language )
ในเรื่องของการใช้ภาษานั้น แน่นอนทุกคนอาจจะเคยพูดผิดบ้าง เรียกชื่อเพื่อนผิดบ้าง หรือนึกคำที่ไม่ค่อยได้ใช้ไม่ออกบางครั้ง แต่ผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะมีปัญหาลืมแม้กระทั่งคำง่าย ๆ ที่ใช้บ่อย ๆ นึกคำที่จะใช้ไม่ออก บางครั้งใช้คำผิด (เช่นเรียกหมูแทนไก่ พูดถึงเก้าอี้แต่เรียกเป็นโต๊ะ) หรือมีปัญหาในการพูดหรือเขียน จนทำให้ฟังหรืออ่านไม่ค่อยเข้าใจ นึกคำไม่ออก ..... ที่พบบ่อย ๆ คือผู้ที่เป็นอัลไซเมอร์มักจะใช้คำว่า “ไอ้นั่น” “ไอ้นี่” “อันนั้น” “ที่นั้น” บ่อย ๆ .....(เหตุการณ์เกิดในครัวขณะแม่กับลูกสาวทำอาหารเย็นด้วยกัน) แม่ ลูกช่วยหยิบ “ไอ้นั้น” ให้หน่อยสิ
ลูกสาว “ไอ้นั้น” นี่อะไรล่ะแม่
แม่ ไอ้นั่นไง 
ลูกสาว ก็อะไรล่ะแม่ ....(ทำหน้างง ว่าจะให้หยิบอะไรกันแน่)
แม่ ก็ไอ้นั่น .... (ชี้นิ้ว) ก็ที่แบน ๆ เอาไว้ผัดผักไง
ลูกสาว อ๋อ ตะหลิวน่ะเหรอ .....
แม่ ลูก ๆ ใส่ผัก”อันนั้น”ในแกงจืดหน่อย
ลูกสาว ผักอะไรล่ะแม่ ?????
นี่เป็นตัวอย่างของการมีปัญหาในการใช้ภาษา เพราะผู้ป่วยนึกศัพท์ไม่ออก ใช้ไม่ถูก .... ทั้ง ๆ ที่ “ตะหลิว” เองก็เป็นสิ่งที่ใช้บ่อย ๆ ก็เรียกไม่ถูก ต้องใช้บรรยายคำใกล้เคียงแทน
อะไรที่อาจพบได้ในคนปกติ คือการนึกคำศัพท์ไม่ออกแบบนาน ๆ ที หรือศัพท์ที่ใช้ไม่บ่อยแล้วนึกไม่ออก ก็พบได้

4. ไม่รู้วัน เวลาและสถานที่ (disorientation to time and place)
ผู้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์อาจมีปัญหา ไม่รู้วัน เวลาและสถานที่ได้แน่นอนว่าบางครั้งคนทั่ว ๆ ไปอาจจะจำไม่ได้บ้างว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่ (เช่นวันที่ 20) แต่มักไม่เป็นบ่อย ๆ แต่หากจำไม่ได้ว่าอยู่บ่อย ๆ ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ....วันนี้วันอะไร (วันเสาร์ อาทิตย์ จันทร์) หรือเดือนอะไร นี่เป็นสัญญาณเตือนว่าไม่น่าจะใช่เรื่องปกติ ยิ่งหากจำถนนหนทางที่คุ้นเคย เช่นแถว ๆ บ้านไม่ได้ หรือหลงทางในบริเวณที่ไปเป็นประจำ ยิ่งเป็นสิ่งที่ชัดเจนว่าไม่น่าจะธรรมดาปัญหาการไม่รู้สถานที่นี่มักทำให้เกิดปัญหาสำคัญที่เจอบ่อย ๆ ในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ นั่นคือการหลงทาง ... หลายคนออกจากบ้านแล้วหายไป เพราะกลับไม่ถูกหรือจำไม่ได้ 

5. การตัดสินใจแย่ลง (poor or decreased judgment )
ผู้ป่วยอัลไซเมอร์มักประสบกับปัญหาการตัดสินใจที่แย่ลงและช้าลง ... เช่น เมื่อเกิดไฟดับ ผู้ป่วยอาจตกใจและลนลานไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง (ปกติก็คือ อาจหาเทียนไข หรือไฟฉายมาใช้ ) หรือเมื่อท่อน้ำในบ้านแตก ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง (ทั่วไปคืออาจไปปิดวาร์วน้ำ โทรหาช่าง หรือโทรถามคนอื่น) บางคนแคไปรษณีย์มาส่งพัศดุ ให้คนในบ้าน ก็งง ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรแล้ว เมื่อได้รับบิลค่าโทรศัพท์หรือค่าไฟแล้วไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงกับบิลต่อไป ผู้ป่วยอัลไซเมอร์บางคนมีการตัดสินใจเลือกเสื้อผ้าแปลก ๆ ไม่เหมาะสมได้เช่น อาจใส่เสื้อผ้าหนาวในกรุงเทพหน้าร้อน หรือใส่สีไม่เข้ากันเลย (เช่นเสื้อเชิ๊ตสีแดง กางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน) บางคนตัดสินใจในเรื่องการเงินแย่ลง เอาเงินไปแจกคนอื่น หรือลงทุนอย่างไม่เหมาะสมจนเป็นปัญหาตามมาได้ 

6. ความคิดและเหตุผลแย่ลง (problems with abstract thinking)
ความบกพร่องของความคิดอาจจะเห็นตั้งแต่ ผู้ป่วยดูคิดอะไรช้าลงมาก ถามอะไรก็อาจตอบช้ากว่าเมื่อก่อนเยอะ บางคนเริ่มคิดเลขไม่ได้ ไปซื้อของคำนวญราคาไม่ถูก คิดทอนเงินไม่ได้ หลาย ๆ คน เวลาที่อธิบายอะไรให้ผู้ป่วยฟัง ก็ยากที่จะเข้าใจ ไม่สามารถวางแผนการได้

7. วางของผิดที่ (misdisplacing)
นอกจากวางของแล้วจำไม่ได้ ผู้ป่วยอัลไซเมอร์อาจจะวางของในที่แปลก ๆ ที่ไม่ควรจะวาง เช่น เก็บโทรศัพท์ไว้ในตู้เย็น มาหม้อหุงข้าวมาเก็บไว้ในห้องนอน เป็นต้น

8. อารมณ์และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ( Mood and behavioral change )
อารมณ์ (emotion and affect) พบว่าผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์จำนวนหนึ่งนั้น มีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย คือ มีอารมณ์เศร้า เบื่อ ไม่อยากทำอะไรที่เคยชอบทำ ร้องไห้บ่อย ๆ รู้สึกว่าตัวเองไม่ดี หรือพูดถึงว่าไม่อยากอยู่แล้ว อยากฆ่าตัวตาย ..... ดังนั้นหากพบอาการซึมเศร้าในผู้ที่มีอายุมาก ๆ อาจจะต้องระวังเรื่องของโรคอัลไซเมอร์ด้วย อีกอารมณ์หนึ่งที่พบได้บ่อยคือ การมีอารมณ์หงุดหงิดโมโหได้ง่าย จากเดิมที่ไม่เป็น เอาแต่ใจ บางครั้งเวลาถูกขัดใจอาจมีตะโกนเสียงดัง ขว้างปาข้าวของ มีอารมณ์ขึ้นลงรุนแรงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป (behavioral change) ผู้ป่วยบางคนอาจมีพฤติกรรมที่แปลก ๆ ผิดปกติไป ที่พบได้บ่อยเช่น บางคนเดินกลับไปกลับมาในบ้านซ้ำ ๆ โดยไร้จุดหมาย ผู้ป่วยคนหนึ่งค้นตู้เสื้อผ้าในบ้านออกมาจนหมดกระจุยกระจายเต็มบ้าน แล้วจัดเก็บเข้าไปใหม่ จากนั้นไม่นานก็ลื้อออกมาใหม่ ผู้ป่วยคนหนึ่งหยิบปากกาขึ้นมาส่องดูแล้วก็วาง แล้วสักพักก็ส่องดูใหม่วันละหลายสิบรอบ บางคนมีนิสัยเก็บสะสมของต่าง ๆ และขยะ ผู้ป่วยบางคนเก็บขยะจากที่ต่าง ๆ มาสะสมในบ้านหนักหลายกิโล

9. บุคลิกภาพเปลี่ยนไป ( Personality Change )
ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ส่วนหนึ่งจะมีอาการนำมาด้วยมีบุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น จากเดิมเป็นคนง่าย ๆ ไม่ค่อยพูดบ่นมาก ก็กลายเป็นคนที่พูดมาก บ่นจู้จี้จุกจิกไป บางคนที่เดิมเป็นคนร่าเริงสนุกสนานชอบงานสังคม ก็กลายเป็นคนเงียบ ๆ ไม่พูด ไม่ออกจากบ้าน ดังนั้นหากพบว่าคนรู้จักของเรามีนิสัย บุคลิกภาพที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมตอนอายุมาก ๆ อาจต้องนึกถึงว่านี่เป็นอาการนำของโรคสมองเสื่อม 

10. ขาดการคิดริเริ่มและความสนใจสิ่งแวดล้อม (loss of initiative)
ผู้ป่วยอัลไซเมอร์จำนวนมากกว่าครึ่ง จะมีอาการขาดความคิดสร้างสรรค์ และไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว (อันนี้ต้องเปรียบเทียบจากนิสัยเดิมด้วย) เช่น ผู้ป่วยจะไม่คิดริเริ่มที่จะทำอะไร ไม่เป็นฝ่ายเริ่มคุยกับคนอื่นก่อน ถ้าคนอื่นไม่มาคุยด้วยก็จะไม่พูดอะไร มีส่วนร่วมในงานสังคมน้อยลง ไม่ค่อยสนใจสิ่งที่เคยสนใจทำมาก่อน ผู้ป่วยหลายคนวัน ๆ นั่งเฉย ๆ ไม่ทำอะไรได้ทั้งวันสิ่งที่พบได้ในคนปกติ การที่บางครั้ง บางวันอาจเบื่อไม่อยากทำอะไร แต่ไม่ควรเป็นต่อเนื่องกันหลาย ๆ วัน

ไปหน้าแรก  การดูแลสุขภาพ



อันตรายจากสารคลอรีนในสระว่ายน้ำต่อสุขภาพ

สระว่ายน้ำที่มีอยู่ตามโรงแรม สถานศึกษาหรือหมู่บ้านชุมชนใหญ่ๆ มีความจำเป็นสำหรับการออกกำลังกายของผู้ชอบกีฬาว่ายน้ำ หรือไว้ใช้ฝึกซ้อมสำหรับนักกีฬาว่ายน้ำ ทำให้สระว่ายน้ำมีผู้ใช้บริการค่อนข้างมาก จึงมีโอกาสปนเปื้อนด้วยจุลินทรีย์จากร่างกายของผู้มาใช้บริการค่อนข้างมาก ด้วย ได้มีการนำสารประกอบคลอรีนมาใส่ในสระว่ายน้ำเพื่อฆ่าจุลินทรีย์หรือเชื้อโรคต่างๆ ทั้งนี้ปริมาณคลอรีนในสระว่ายน้ำที่ใช้จะมีปริมาณ 0.6 – 1.0 ส่วนในล้านส่วน แต่ในปัจจุบันผู้ดูแลสระว่ายน้ำได้นำคลอรีนมาใส่ในปริมาณมากเกินไป หรือนำสารประกอบคลอรีนอื่นๆ มาใช้ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้ใช้บริการได้ง่าย


อันตรายจากสารประกอบคลอรีนที่เรียกว่ากรดไตรคลอโรไอโซไซยานูริก ( Trichloro – isocyanuric acid )ในสระว่ายน้ำ

เมื่อไม่นานมานี้มีข้อมูลในผลการวิจัย เรื่อง “ภาวะฟันกร่อนในผู้ว่ายน้ำ” โดยการตรวจสภาพฟันกร่อนของนักกีฬาว่ายน้ำจากโรงเรียน จำนวน 18 คน พบว่าทุกคนมีสภาพฟันกร่อนอย่างรุนแรง เนื่องจากนักกีฬาว่ายน้ำได้สัมผัสกับน้ำในสระว่ายน้ำที่มีความเป็นกรดสูง เป็นเวลานาน เพราะสระว่ายน้ำดังกล่าวได้ใช้สารประกอบเคมีของคลอรีนที่เรียกว่า กรดคลอโรไอโซไซยานูริก หรือคลอรีน 90 % มาใช้ทำลายจุลินทรีย์หรือเชื้อโรค โดยที่คลอรีนดังกล่าวมีราคาถูก ยับยั้งการเจริญของตะไคร่น้ำได้ ทำให้น้ำใส แต่ปริมาณคลอรีนจะตกค้างในน้ำได้เป็นเวลานาน ทำให้สระน้ำมีความเป็นกรดเป็นเวลานานตามไปด้วย

 สำหรับภาวการณ์เกิดฟันกร่อนเป็นการสูญเสียเนื้อเยื่อแข็งของฟันเนื่องมาจากปฏิกิริยาทางเคมี ตามปกติแล้วถ้ารักษาฟันไม่สะอาดก็จะมีจุลินทรีย์มาเจริญปกคลุมเนื้อเยื่อฟัน ที่เรียกว่าแผ่นคราบจุลินทรีย์ จุลินทรีย์เหล่านี้จะเจริญและสร้างกรดออกมาทำลายสารเคลือบฟัน ทำให้สารเคลือบฟันบางลงเรื่อยๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ไปนานๆ จึงเกิดสภาพฟันกร่อนขึ้นมา อาการที่ปรากฏก็คือการเสียวฟันอยู่เสมอๆ

จากผลการวิจัยพบว่า นักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียนได้ว่ายน้ำในสระน้ำที่มี ความเข้มข้นของกรดสูง โดยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 11.33 ชั่วโมง และอาการเสียวฟันจากการเกิดฟันกร่อน จะเกิดขึ้นหลังจากว่ายน้ำได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น ตามปกติแล้วนักกีฬาว่ายน้ำมีโอกาสเกิดฟันกร่อนมากกว่าผู้ที่ว่ายน้ำเพื่อการออกกำลังกาย ประมาณ 4.68 เท่า แต่นักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียนการกีฬาจังหวัดขอนแก่นที่ว่ายน้ำในสระน้ำที่ใช้สารประกอบคลอรีนที่เรียกว่ากรดไตรคลอโรโอโซไซยานูริก จะมีโอกาสเกิดฟันกร่อนได้มากเป็น 2.78 เท่า ของนักกีฬาว่ายน้ำที่ใช้สระว่ายน้ำที่มีสารประกอบคลอรีนอื่นๆ เช่น แคลเซียมไฮโปคลอไรต์ (calcium hypochlorite) และโซเดียมไฮโปคลอไรต์ (sodium hypochlorite) อย่างไรก็ตาม นักกีฬาว่ายน้ำที่เป็นเด็กอายุ 5 – 6 ขวบ มีโอกาสเกิดฟันกร่อนมากกว่านักกีฬาว่ายน้ำผู้ใหญ่ โดยจะทำให้ฟันแท้ที่กำลังเกิดใหม่มีภาวะสึกกร่อน รวมทั้งมีการวางเรียงตัวที่ผิดปกติหรือผิดรูปร่างไปได้อีกด้วย

ตามปกติแล้ว ทางราชการได้มีข้อบังคับการควบคุมคุณภาพสระว่ายน้ำให้มีสภาพความเป็นกรด ด่างอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไว้แล้ว เช่น ข้อบังคับกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยหลักเกณฑ์การประกอบการค้าซึ่งเป็นที่รังเกียจหรืออาจเป็นอันตรายแก่สุขภาพ ประเภทการจัดตั้งสระว่ายน้ำ พ.ศ.2530 ได้กำหนดให้สระว่ายน้ำมีค่าความเป็นกรดด่างอยู่ที่ 7.2 – 8.4 ซึ่งเป็นสภาพของกรดและด่างอ่อนๆ และต้องควบคุมให้อยู่ในระดับนี้ทุกวัน เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้มาใช้บริการ

ถ้าท่านเป็นนักกีฬาว่ายน้ำหรือเป็นผู้ที่มาใช้บริการสระว่ายน้ำเป็นประจำ ก็ควรจะได้มีการตรวจสุขภาพฟันอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพราะเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะฟันกร่อนได้ง่าย การตรวจสุขภาพฟันดังกล่าวจะทำให้ทราบว่ามีการเกิดภาวะฟันกร่อนหรือไม่ ถ้าหากพบว่ามีภาวะฟันกร่อนจะต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วนเพื่อลดอาการเสียวฟัน จะช่วยให้มีความปลอดภัยต่อสุขภาพด้วย

ไปหน้าแรก  เคล็ดลับสุขภาพ



เคล็ดลับง่าย ๆ ช่วยให้ผอมและหุ่นดี

ใครอยากผอมดีมีหุ่นสวยพลาดไม่ได้กับเคล็ดลับ ที่จะช่วยคุณผู้หญิงทั้งหลายให้ผอมและมีหุ่นที่ดีมากกว่าเดิม


เลือกกินอาหารให้ได้ตามโภชนาการ

เวลาจะทานอาหารแต่ละมื้อให้กะปริมาณอาหารโดยรวมทั้งหมดไม่ให้เกิน 1 ฝ่ามือ หรือเวลาที่คุณผู้หญิงนึกอยากทานของว่างมาเมื่อไหร่ อย่านึกถึง พวกคุ้กกี้ เค้ก หรือขนมขบเคี้ยว ที่มาพร้อมแคลอรี่ โดยให้เปลี่ยนมาเป็นผลไม้สด ผลไม้อบแห้ง หรือพวกถั่วแห้งจะดีกว่า

พยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้ได้มากที่สุด

เวลาที่คุณผู้หญิง เดินไปไหนมาไหน พยายามขยับแขน ขยับขา แกว่งไปมา ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายได้ออกกำลัง สำหรับคุณผู้หญิงที่อยากลดความอ้วน ควรพึงระลึกไว้เสมอว่า ไม่ควรนั่งอยู่กับที่นิ่งๆ นานเกิน 30 นาที ควรทำให้ลุกขึ้นบ่อยๆ เพื่อขยับเคลื่อนไหวร่างกายอยู่ตลอดเวลา

เปลี่ยนพฤติกรรมการกินและสภาพจิตใจของคุณให้พร้อม

ระลึกเสมอว่าไม่ควรกินมากเกินไป หรือเวลาไปช้อปปิ้งให้ทานอะไรควรรองท้องไปก่อน จะได้ไม่รู้สึกหิวมากเกินไป จนทำให้คุณผู้หญิง อยากซื้อของเข้าบ้านมากเกินไป หรือเวลาที่คุณผู้หญิงรู้สึกหิวขึ้นมา ให้หาอะไรทำแทน เช่น ก็โทรศัพท์โทรหาเพื่อนสนิทๆ ที่คุยเก่ง จนลืมความหิวไปได้ เป็นต้น

ไม่ควรซื้ออาหารมาเก็บติดตู้เย็น

เพราะจะทำให้อยากกินอาหารเมื่อไหร่ก็สามารถเอาเข้าไมโครเวฟอุ่นกินได้เลย ถ้าต้องหาของกินติดตู้เย็นจริงๆ ควรหาพวกโยเกิร์ต ผลไม้ ติดตู้เย็น เป็นต้น

หาเครื่องมือช่วยทำให้ผอม

ลองเปลี่ยนจากการกินข้าวด้วย ช้อนส้อม มากินด้วยตะเกียบแทน เพื่อให้กินช้าลงและปริมาณอาหารที่เข้าปากน้อยลง

หาแรงบันดาลใจเพิ่มความมั่นใจให้ตัวคุณ

อาจต้องเพิ่งโปรแกรมตัดต่อสักหน่อยงานนี้ เช่น โฟโต้ช้อป รีทัชภาพคุณผู้หญิงและนางแบบผอมเพรียว แล้วนำมาติดที่หน้ากระจก หรือติดตามตู้เย็นในครัว เวลาเห็นจะได้เป็นแรงผลักดันให้คุณไม่เผลอเปิดตู้เย็นแล้วกินทุกอย่างที่ขวางหน้า

หาเรื่องไปกินข้าวนอกบ้านบ่อยๆ

เพราะการทานข้าวที่บ้านเป็นส่วนตัวมากเกินไป อาจทำให้คุณผู้หญิงเคยชินกับพฤติกรรมการกินอาหารแบบส่วนตัวได้ ถ้านั่งทานนอกบ้านนั้นจะกินเยอะไม่ได้แล้ว ก็ยังเกรงใจสายตาคนรอบข้างบ้าง หรืออีกกรณีหนึ่งคือ ไม่กล้าสั่งเยอะเพราะจะทำให้ต้องจ่ายเพิ่มเยอะขึ้นอีกในมื้อนั้นๆ ด้วย พยายามเลือกร้านที่อาหารมีราคาแพงหน่อย เพราะจะได้กินเพียงแค่จานเดียว

อยากทานของหวานจะต้องทำไง

เวลาออกไปกินข้าวนอกบ้านแล้วเกิดอยากทานของหวานขึ้นมา แนะนำให้สั่งมาเพียงอย่างเดียว แบบที่เล็กๆ เพราะจะได้ไม่กินในปริมาณเยอะ

อย่าดูเมนูอาหารนานเกิน 5 นาที

เคล็ดลับที่สำคัญหนึ่งสำหรับคุณผู้หญิงที่อยากผอม พยายามอย่าดูเมนูอาหารนานเกิน 5 นาที เด็ดขาด! เพราะจะทำคุณให้อยากกิน และอยากสั่งโน้นนี้ไปซะหมด

เลือกเครื่องดื่มให้แค่พอดื่ม

เลือกระหว่างไวน์หวานกับไวน์หลังอาหารธรรมดาๆ แบบหวานจะมีแคลอรีถึง 185 แคลอรีซึ่งมากกว่าในบราวนี 1 ชิ้น เสียอีก อย่าดื่มเครื่องดื่มที่มี “ร่ม” แต่งอยู่ด้วย เพราะจากประสบการณ์บอกว่าพวกนี้มักใช้แก้วขนาดใหญ่กว่าปกติและเราก็จะได้ แคลอรีมากกว่าปกติด้วย ใช้แก้วใบเล็กรินเครื่องดื่มใส่ แล้วค่อยๆ จิบ แทนที่จะดื่มรวดเดียวหมดขวด

เปลี่ยนพฤติกรรมการกินในงานเลี้ยง งานปาร์ตี้ หรืองานสังสรรค์

ถ้าต้องไปร่วมงานเลี้ยง งานปาร์ตี้ หรืองานสังสรรค์แล้วล่ะก็ ควรต้องสัญญากับตัวเองว่าสิ่งที่กินได้ในงานนั้นมีแต่ ออร์เดิฟเท่านั้น ส่วนเครื่องดื่มที่ควรดื่มคือ รัม ไดเอตโค้ก ยินและไดเอตโทนิกทั้งหลาย

แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ช่วยอำพรางหุ่นที่บกพร่อง

ให้คุณผู้หญิงเลือกชุดใส่ชุดแบบ little black dress ช่วยให้รูปร่างดูผอมเพรียวขึ้นมาทันที และเลือกใช้สีดำ เพราะจะช่วยพรางรูปร่างของคุณได้ดี หรือการเลือกเสื้อผ้าแบบสีโทนเดียว  จะผอมลงได้ทันที การใส่รองเท้าส้นสูงก็จะทำให้ขาดูเรียวขึ้น นอกจากนี้การเมคอัพก็ให้เน้นใช้โทนสีธรรมชาติ เน้นที่ดวงตาและควรทาปากสีอ่อนเพื่อไม่ให้คางใหญ่โต และอย่าปัดแก้มสีจัดจนเกินไปจะทำให้ดูหน้ากลม และคางใหญ่ขึ้นไปอีก

ไปหน้าแรก  เคล็ดลับสุขภาพดี

แก้อาการอ่อนเพลีย อ่อนล้า หลังจากการเดินทางท่องเที่ยว

เพื่อน ๆ เคยเกิดอาการแบบนี้กันไหม ที่เวลาเดินทางท่องเที่ยวจะสนุกสนาน ตื่นเต้นกับสิ่งรอบข้างและประสบการณ์ใหม่ๆ ลืมความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ากันไปเลย แต่หลังจากกลับมาจากการเดินทางแล้ว ร่างกายจะขาดสมดุล รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง จิตใจไม่แจ่มใส บางคนอาจจะปวดศีรษะ หรือไม่สบายไปเลยก็มี ดังนั้น เรามีวิธีทำให้ร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่าและรู้สึกดีขึ้นได้หลังจากการเดินทาง

สุขภาพอาการอ่อนเพลีย

- ดื่มน้ำผลไม้
ผลไม้มีประโยชน์ในทุกสถานการณ์จริงๆ เพราะเมื่อร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง วิธีที่ช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายนั้นก็คือ การดื่มน้ำผลไม้ประเภทสมูทตี้ (Smoothie) คือการใช้ผลไม้สดทั้งผลปั่นแบบไม่กรองกาก  เช่นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ จะช่วยให้ร่างกายกลับคืนสู่สมดุล (rebalance) ได้เร็วขึ้น

- รับประทานอาหารแต่เช้า
ร่างกายคนเรามีระดับการเผาผลาญอาหารสูงสุดในช่วงเที่ยงวันค่ะ อาหารที่ดีคือ อาหารที่รับประทานแต่เช้า (คือภายในชั่วโมงแรกหลังตื่นนอน) ควรรับประทานมื้อเช้าและมื้อเที่ยงเป็น "มื้อหลัก" โดยให้หนักไปทางโปรตีนและไขมัน ส่วนอาหารมื้อเย็นควรเป็นมื้อเล็กหน่อย หนักไปทางคาร์โบไฮเดรต เช่น ผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสีที่มีคุณค่าสูง อาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตจะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย หลับสบาย และช่วยล้างพิษในช่วงที่เราหลับอยู่

- หลับอย่างไรให้สนิท
ช่วงหลังกลับมาจากเดินทางบางคนอาจจะมีอาการนอนไม่หลับกระสับกระส่าย เนื่องจากร่างกายต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนเวลา อากาศ และสภาพแวดล้อม ดังนั้น ควรหาวิธีช่วยให้หลับสนิท โดยการดื่มนมอุ่นๆ เพราะนมมีกรดอะมิโนที่ช่วยในการนอนหลับ นอกจากนั้น ห้องนอนก็ควรมืดสนิทและเงียบ หลีกเลี่ยงการตั้งนาฬิกาปลุกในช่วง 45-120 นาทีแรก เพราะเป็นช่วงที่เรากำลังหลับลึก ถ้าตื่นในช่วงนี้จะทำให้เราเวียนศีรษะและไม่สดใส

- หายใจให้เป็น
ทำการฝึกหายใจแบบสบายๆ วิธีการฝึกทำได้โดยการหาที่นั่งเงียบๆ สัก 5 นาที นั่งหลังไม่งอและไม่เกร็ง วางมือข้างหนึ่งไว้ที่หน้าอกเบาๆ วางอีกข้างไว้ที่หน้าท้องเบาๆ หายใจเข้าและหายใจออกอย่างช้าๆ  พร้อมกันนี้ ให้ทำความรู้สึกว่า "หายใจเข้า...ฉันผ่อนคลาย"  "หายใจออก...ฉันผ่อนคลาย"  ช่วยคลายกล้ามเนื้อสมอง ลดความเครียดลง และผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ลองค่อยๆ ฝึกทำวิธีเหล่านี้ดู อาการอ่อนเพลียหลังเดินทางอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวสักหน่อย แต่ก็จะดีขึ้นได้เองโดยมีวิธีไม่ยากและใช้เวลาไม่นานเลย

การจัดตู้ยาสามัญประจำบ้านและการดูยาหมดอายุให้เป็น

ตู้ยาสามัญประจำบ้าน หรือคลังโอสถขนาดย่อมที่ทุกครัวเรือนควรมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ยามป่วยไข้ หรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุเลือดตกยางออก ซึ่งคุณผู้อ่านควรรู้วิธีการจัดวางตู้ยา และจัดระเบียบตู้ยาอย่างเหมาะสม หากจำเป็นต้องใช้งานจะได้สะดวก ปลอดภัย ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนง่าย ๆ ในการจัดตู้ยาสามัญประจำบ้านให้ถูกวิธี

ตู้ยาสามัญประจำบ้าน

สิ่งแรก คือ ตำแหน่งที่ตั้งตู้ยา ต้องมีอุณหภูมิพอเหมาะ แสงแดดส่องไม่ถึง ไม่ร้อนหรือชื้น ไม่วางในห้องน้ำ และห้องครัว เพื่อป้องกันยาเสื่อมคุณภาพ ที่สำคัญต้องจัดวางให้สูงเกินกว่าที่เด็กจะเอื้อมหยิบถึง 

ต่อมาต้องนำยาหรือใช้ยาที่มีฉลากระบุรายละเอียดชัดเจนเท่านั้น เช่น ชื่อ ขนาด วัน เดือน ปี ที่ผลิตและหมดอายุ คำเตือน และคำสั่งในการใช้ เช่น ห้ามรับประทาน หรือ ยาใช้ภายนอก

การจัดวางภายในตู้ยา ควรแยกประเภทของยาให้ชัดเจน เช่น ยารับประทาน ยาทา โดยไม่วางปะปนกันเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการหยิบใช้ ส่วนยาชนิดเดียวกันควรวางที่หมดอายุเร็วกว่าไว้ด้านนอกเพื่อหยิบใช้ก่อน

หมั่นทำความสะอาดตู้ยาให้มีสภาพพร้อมใช้งานเสมอ ไม่ว่าจะเป็นตัวยา หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะดูวันหมดอายุ กรณีที่ยาหมดอายุแล้วต้องทิ้งทันที 

สำหรับวิธีการสังเกตยาหมดอายุ หรือเสื่อมคุณภาพ จะมีลักษณะที่พิจารณาได้ง่าย ๆ สำหรับ  ยาเม็ด  เม็ดยาจะแตกร่วน สีซีดจางลง หรือสีเปลี่ยน

ยาเม็ดเคลือบ  จะมีลักษณะเยิ้ม เหนียว ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ ส่วน  ยาเม็ดแคปซูล  แคปซูลจะบวม พองตัว ติดกัน หรืออาจมีราขึ้นบนเปลือกแคปซูล

ถ้าเป็นยาน้ำแขวนตะกอน  อาทิ ยาลดกรด ยาคาลาไมน์ จะจับกันเป็นก้อน นอนก้น แม้เขย่าแรงๆ ก็ไม่กระจายตัว ขณะที่  ยาน้ำเชื่อม  เกิดตะกอน มีสีและกลิ่นที่เปลี่ยน สุดท้าย  ยาครีม  จะสังเกตเห็นเนื้อครีมเปลี่ยนสีและมีกลิ่นเหม็น

วิธีการจัดตู้ยาและการดูแลตู้ยาสามัญประจำบ้านง่าย ๆ แค่นี้ หวังว่า คุณผู้อ่านที่รักสุขภาพคงไม่มองข้ามนะครับ 

ไปหน้าแรก  เคล็ดลับสุขภาพ


ความเครียดตัวร้าย ทำลายสุขภาพ

จะว่าไปแล้วการทำงานในยุคปัจจุบันคงจะหลีกเลี่ยงความเครียดยากมาก สำหรับสภาพเศรษฐกิจอย่างนี้พนักงานในบริษัทหลายแห่ง อาจต้องทำงานหนักเท่ากับ 2 หรือ 3 คนด้วยซ้ำ มีกำหนดเส้นตายการทำงานกระชั้นขึ้น ไหนยังต้องเข้าประชุมไม่เว้นแต่ละวัน โทรศัพท์ติดต่องาน จัดการเคลียร์เรื่องจุกจิกรายวัน ฯลฯ เรียกว่าทำเอาความเครียดถามหาเอาได้ง่ายๆ เชียว


ความเครียดเป็นต้นตอของ โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ สารพัดทุกวันนี้ถึงวิทยาการทางการแพทย์ทันสมัย เราต่อสู้เอาชนะเชื้อโรคต่างๆ ได้มากมายหลากหลายชนิดก็จริง แต่กลับกลายเป็นว่าโรคที่อันตรายหลายต่อหลายโรคที่เอาชนะได้ยากนั้น เป็นโรคที่เกิดจากการใช้ชีวิตบนความเครียดนี่เอง

           วิธีหนึ่งในหลายๆ วิธีที่คุณพอจะรู้ตัวว่าเครียดได้ง่ายๆ ก็คือ การสังเกตอาการต่างๆ ที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเครียดได้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะมีทั้งอาการที่แสดงออกทางกาย จิตใจ อารมณ์ และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิม

           ร่างกาย : อาการทางร่างกายที่เมื่อเกิดความเครียด ก็มีตั้งแต่รู้สึกมึนงง ปวดตามกล้ามเนื้อ กัดฟัน ปวดศีรษะ ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องเสีย ท้องผูก เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว หูอื้อ มือเย็น อ่อนเพลีย มีเสียงดังให้หู หายใจไม่เต็มอิ่ม ฯลฯ

           จิตใจ : ส่วนอาการทางจิตใจ เช่น รู้สึกวิตกกังวล การตัดสินใจไม่ดี ขี้ลืม ไม่มีสมาธิ ไอเดียหดหาย เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ยาก

           อารมณ์ : ทาง ด้านอารมณ์ของคุณ ดูแล้วไม่น่าอยู่ใกล้เอาซะเลย มีแต่อารมณ์ติดลบ เช่น โกรธง่าย วิตกกังวล ซึมเศร้า ท้อแท้ หงุดหงิด มองโลกในแง่ร้าย อาจเผลอกัดเล็บหรือดึงผมตัวเอง

           พฤติกรรม : ส่วนด้านพฤติกรรม ก็จะมีพฤติกรรมแปลกไปกว่าที่เคย เช่น กินเก่งขึ้น หันไปพึ่งเหล้าหรือบุหรี่ พูดจาโผงผาง หรือไม่อยากพบปะสังสรรค์กับใคร 

ถ้าสังเกตตัวเองดูแล้ว ว่ามีอาการต่างๆ เหล่านี้ อย่าปล่อยปละละเลย นานไปอาจเป็นปัญหาเรื้อรังโรคไม่ได้รับเชิญต่างๆ อาจมารุมเยี่ยมเยียนจนคุณย่ำแย่ เมื่อความเครียดสะสมนานวันเข้า ระบบการทำงานในร่างกายจะแปรปรวน เพราะถูกกระตุ้นให้ทำงานหนักอยู่บ่อย ๆ เป็นระยะเวลานาน ในขณะที่เรากำลังเครียดหัวใจจะเต้นเร็วขึ้น หลอดเลือดหดตัว ปอดและหลอดลมตีบทำให้หายใจลำบาก กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามาก ลำไส้กับกระเพาะปัสสาวะบีบตัว กล้ามเนื้อเกร็ง ต่อมเหงื่อผลิตเหงื่อออกมามาก ภูมิคุ้มกันลดลง ทำให้เกิดโรคได้ต่างๆ ตามมา

ความดันโลหิตสูง เกิดจากหลอดเลือดหดตัว เลือดไหลเวียนไม่สะดวกทำให้หัวใจต้องออกแรงดันเลือดเพิ่ม ความดันโลหิตในร่างกายที่เคยอยู่ในระดับปกติจึงเพิ่มระดับสูงขึ้น ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน ก็จะนำไปสู่ปัญหาโรคหลอดเลือดหัวใจตามมา

โรคแผลในกระเพาะอาหาร ถ้าเกิดความเครียดเมื่อใดก็ตามกรดในกระเพาะอาหารจะหลั่งออกมา นานไปจะทำให้มีอาการปวดท้องเวลาหิว และปวดท้องหลังกินอาหาร โดยเฉพาะถ้าเป็นอาหารรสจัด เปรี้ยวๆ เผ็ดๆ และของหมักดอง

ภูมิแพ้ เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติอ่อนแอลง อันเนื่องมาจากความเครียด รวมทั้งไข้หวัดก็เช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อร่างกายอ่อนแอ เชื้อไวรัสสาเหตุของหวัดก็จะทำร้ายร่างกายของเราได้ง่าย

หอบหืด เป็นผลมาจากปอดและหลอดลมตีบ รวมทั้งผลจากโรคภูมิแพ้

ปวดศีรษะ เกิดจากกล้ามเนื้อตึงตัวบริเวณท้ายทอยและต้นคอ และลามไปบริเวณศีรษะ ถ้านวดก็จะช่วยให้อาการคลายลงได้

ไมเกรน จะมีอาการปวดตุ้บๆ หรือปวดจี๊ดที่ขมับข้างเดียว ทั้งสองข้างหรือตรงท้ายทอย เป็นความปวดอย่างรุนแรง อาจมีอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียนด้วย

ปวดหลัง เกิดจากกล้ามเนื้อตึงตัวเป็นเวลานานและทำให้มีอาการอ่อนล้า

มะเร็ง ความเครียดทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเราอ่อนแอลง ไม่สามารถกำจัดสารก่อมะเร็งที่อยู่ภายในร่างกาย เซลล์มะเร็งจึงเจริญเติบโตได้อย่างสบายๆ

นอกจากนั้นก็ยังมีโรค ทางด้านจิตใจอย่างเช่น โรคประสาทวิตกกังวล ฯลฯ ซึ่งเมื่อเป็นแล้วจะมีอาการวิตกกังวลมากกว่าปกติ และเป็นอาการเรื้อรังอีกด้วย

หากไม่อยากให้โรคเหล่านี้มาเยือนแล้วละก็ ควรจะหาวิธีป้องกันและแก้ไขให้ทันท่วงทีดีกว่า และที่สำคัญอย่าลืมรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์



ลดน้ำหนักด้วยการงดเว้นการกินอาหารจำพวกน้ำตาลกับแป้ง

การลดน้ำหนักให้ได้ 4 - 9 ปอน์ดต่อาทิตย์โดยไม่ต้องมานั่งนับปริมาณแคลลอรี่ที่กินเข้าไป หรือไม่ต้องออกกำลังกายมากมาย อาจดูเกินความเป็นจริง แม้ว่าเราจะเป็นคนที่หมกมุ่นกับการลดความอ้วน และพยายามลดพุงมากแค่ไหน การลดน้ำหนักโดยไม่ต้องทำอะไรดูจะเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ คุณอาจเริ่มต้นมองไปที่ดาราต่าง ๆ ซึ่งมักจะมี trainer ส่วนตัว และดาราหลาย ๆ คนก็ออกหนักสือลดความอ้วนมาให้เราด้วยอ่านกันตาม ที่น่าแปลกก็คือคุณไม่สามารถทำตามดาราเหล่านั้นเพื่อให้มีหุ่นที่ดีดังดาราคนนั้นได้

Image courtesy of [luigi diamanti] / FreeDigitalPhotos.net
หนังสื่อชื่อ The Belly Fat Cure ของ Cruise แนะนำว่าคุณสามารถกินอาหารที่คุณอยากกิน รวมทั้งอาหารขยะอย่างไอซ์ครีม มันฝรั่งทอด ฟิซซ่า หรือแม้แต่ชีสเบอเกอร์ ถ้าคุณควบคุมปริมาณน้ำตาล และคาโบไฮเดรต เพื่อควบคุมระดับอินซูลินของคุณ ข้อมูลนี้อาจฟังดูตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณเคยเรียนรู้มา หนังสือเล่มนี้ยังบอกอีกว่าการลดน้ำหนักนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการนับจำนวนแคลอรี่ที่ได้รับเข้าไป, การกินให้น้อยลง หรือการออกกำลังกายให้เพิ่มมากขึ้น

The Belly Fat Cure อะไรที่คุณกินได้?

หนังสือเล่มนี้มีตัวอย่างการวางแผนการกิน ซิ่งยังคงเป็นสิ่งสำคัญอยู่ แต่ด้วยทฤษฏีใหม่นี้อาจทำให้การกินของคุณสามารถยืดหยุ่นได้มากกว่าเดิม และคุณสามารถเลือกกินของที่ชอบได้มากขึ้น ตามแผนการกินคุณควรวางแผนกินโปรตีน, ไขมัน และผักต่าง ๆ ที่มีปริมาณน้ำตาล และคาโบไฮเดรตต่ำ อาหารที่ผ่านการปรุงแต่งเพื่อให้มีความหวาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลธรรมดา หรือน้ำตาลเทียม คุณจะต้องหลีกเลี่ยง ส่วนไวน์, เบียร์, แชมเปจ และ ดาร์ค ชอล์กอแลต ถือว่าโอเค แต่คุณจะต้องไม่กินคอล์กเทล และขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ

ตัวอย่างการวางแผนรับประทานอาหาร

- อาหารเช้า ไข่ 3 ฟอง, ขนมปังปิ้งเนย 2 แผ่น
- ของว่าง ถั่ววอลนัท
- อาหารกลางวัน สลัดทูนา และขนมปัง 1 แผ่น
- อาหารเย็น ไก่ย่าง กับเสต็ก สลัดผัก

หนังสือเล่มนี้แนะนำการควบคุมน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำวันละ 8 - 10 แก้วต่อวัน และรับประทานผลไม้สดเป็นหลัก นอกจากนี้ยังต้องดื่มนมไขมันต่ำ และ น้ำผลไม้ 100% ย ซึ่งการได้รับอาหารแบบนี้จะทำให้พุงของคุณหายไปได้

โดยทั่วไปแล้วผลไม้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ เพราะประกอบไปด้วยไฟเบอร์ และสารอาหารที่มีประโยชน์ คุณสามารถได้รับสารอาหารจากผัก และผลไม้ เหมือนกับที่ได้จากเนื้อสัตว์ ซึ่งผัก และผลไม้จะมีน้ำตาล และไขมันที่ต่ำกว่า

หนังสื่อ The Belly Fat Cure มีแนวคิดที่คล้ายกับ Atkins ซึ่งเป็นการเปลี่ยนการได้รับคาร์โบไฮเดรตของร่างกาย ในแต่ละวันผู้ลดน้ำหนักจะต้องได้รับน้ำตาลไม่เกิน 15 กรัมเท่านั้น และจะต้องได้รับไฟเบอร์เข้าไปในร่างกายในปริมาณที่มากพอ นอกจากนี้ปริมาณคาร์โบไฮเดรตไม่ควรจะเกิน 20 กรัมต่อวันเท่านั้น หากคุณสามารถควบคุมระดับน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายได้รับคุณก็สามารถที่จะกินอาหารได้หลายอย่างที่คุณต้องการ

ตามทฤษฎีของ Cruise เขาจะใช้ carb swap หรือการเปลี่ยนระบบคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายได้รับ เพื่อให้ระดับอินซูลินถูกควบคุม ซึ่งถ้าคุณมีน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตในร่างกาย ก็จะทำให้ระดับอินซูลินในร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นไขมัน และไปสะสมอยู่ที่พุงของคุณนั่นเอง นอกจากจะลงพุงแล้วยังทำให้คุณมีริ้วรอย แก่ก่อนวัย ร่างกายอ่อนแออ มีพลังงานต่ำ และ

ตามทฤษฎีของ Cruise เขากล่าวว่า เพราะว่าไขมัน และโปรตีนไม่ทำให้ระดับอินซูลินเพิ่มขึ้น ดังนั้นคุณจึงไม่จำเป็นต้องจำกัดการบริโภคสิ่งเหล่านี้ ซึ่งแนวคิดนี้ไม่เป็นที่ชอบใจนักสำหรับนักโภชนาการที่พยายามให้ผู้คนหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน เพื่อลดน้ำหนัก และเสริมสร้างสุขภาพ

หนังสือ The Belly Fat Cure ของ Cruise แนะนำว่าการออกกำลังกายหลัก ๆ นั้นไม่จำเป็นสำหรับการลดความอ้วน! สิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำก็แค่ sit up เพื่อให้หน้าท้องของคุณมีกล้ามเนื้อที่ชัดเจนขึ้นมา แต่ไม่ทำน้ำหนักก็จะลดลงอยู่ดี เพียงแต่คุณจะมีหน้าท้องที่ไม่สวยงาม หากคุณต้องการมีหน้าท้องที่สวยงาม ซึ่งมีข้อแนะนำในหนังสือเล่มนี้คุณจะต้องออกกำลังกายหน้าท้องเป็นประจำ 8 นาทีต่อวัน และหากต้องการมีร่างกายที่แข็งแรงคุณควรจะเดินเพื่อออกกำลังกายเป็นเวลา 20 นาทีต่อวัน ซึ่งแนะนอนว่า Cruise กล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ในการลดน้ำหนัก

สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวกับหนังสือเล่มนี้

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การลดน้ำหนักแบบนี้เป็นเพียงการล้อเล่น เกินจริงเท่านั้นเอง กล่าวโย Zied ผู้เขียนหนังสือ Nutrition at Your Fingertips ซึ่งหนังสือของ Zied อ้างอิงการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากมาย แต่ก็มีผลวิจัยหลายอย่างก็ไม่ตรงความจริงในปัจจุบันนัก

แน่นอนว่าข้อมูลของ Cruise ไม่ได้รับการรับรองจากองค์กรวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะระมัดระวังเกี่ยวกับการกินเนื้อ, ไขมัน, และโซเดี่ยม ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อหัวใจของคุณ และโรคหัวใจยังเป็นสาเหตุหลักอีกอย่างหนึ่งต่อการเสียชีวิตของคุณที่สหรัฐอเมริกา

มากไปกว่านี้ระดับอินซูลินในร่างกายยังไม่สามารถควบคุมได้ง่าย Zied มีความเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่กินอาหารมากเกินไป รวมทั้งน้ำตาลด้วย และทุก ๆ คนควรระมัดระวังการกินสิ่งต่าง ๆ ในแต่ละวันรวมทั้งน้ำตาลด้วย

คุณคิดอย่างไร ?

แม้หนังสือ The Belly Fat Cure ของ Cruise จะสวนกระแสนักวิทยาศาสตร์ และนักวิจารณ์จำนวนมาก โดยกล่าวว่าคุณสามารถกินเนื้อ และไขมันได้ ตราบเท่าที่คุณระวังระดับน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรต เพื่อควบคุมระดับอินซูลิน การออกกำลังกายไม่จำเป็นซะทีเดียวสำหรับการลดน้ำหนัก ยกเว้นว่าคุณต้องการจะมีหุ่นล้ำดูดีเหมือนนายแบบหรือนักกีฬา

ถึงกระนั้นก็ตามมีหลายคนที่กล่าวว่าหนังสือเล่มนี้มันได้ผล ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก internet เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ดูครับ ส่วนจะทำตามหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจส่วนตัวของคุณเท่านั้น ที่จะลองหรือไม่ อย่าลืมว่าวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ตามข้อมูลใหม่ทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นเป็นไปได้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเวิร์คสำหรับคุณ แต่ก็เป็นไม่ได้เช่นกันว่า มันเป็นเพียงแค่ขยะหนึ่งเล่มเท่านั้นเอง

อาหารแสลงที่ไม่ควรกินตอนเป็นไข้

ตอนเป็นเด็ก เวลาไม่สบายเป็นไข้ตัวร้อน หลายคนมักจะถูกพ่อแม่ห้ามกินของแสลง เช่น ห้ามกินหน่อไม้ ห้ามกินอาหารทะเล ห้ามกินฝรั่ง ห้ามกินน้ำเย็น ห้ามกินน้ำแข็ง ฯลฯ เพราะมีความเชื่อว่าจะยิ่งไปซ้ำเติมอาการ พอโตขึ้นแต่งงานมีลูกก็เอาข้อห้าม ดังกล่าวมาใช้กับลูกบ้าง ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าถูกต้องหรือไม่ 

อาหารแสลงที่ไม่ควรกินตอนเป็นไข้

เกี่ยวกับเรื่องนี้  ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ให้สัมภาษณ์ว่า ของแสลงที่ไม่ควรกินตอนเป็นไข้ คือ แป้ง ของหวานจัด อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อาหารที่มีกำมะถันเยอะ ๆ ทุเรียน ขนุน ลำไย ผักที่มีกลิ่นแรง ๆ เช่น ใบกุยช่าย หรือผักที่ห้ามกินตอนตรุษจีน เพราะจะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ยิ่งทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงมากยิ่งขึ้น

อาหารที่มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ เช่น อาหารรสเค็มจัด อาหารที่ใส่ผงชูรสมาก ๆ รวมไปถึงเครื่องดื่ม เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาขับปัสสาวะ ยาล้างไต ก็ไม่เหมาะกับคนเป็นไข้ เพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ 

นอกจากนี้ควรงดออกกำลังกาย เพราะจะยิ่งทำให้เหงื่อออกมาก ร่างกายสูญเสียน้ำ และ ควรงดสูบบุหรี่ เพราะคนเป็นไข้ต้องการออกซิ   เจนในปริมาณมาก

ส่วนของแสลงที่เป็นความเชื่อที่บอก  ต่อ ๆ กันมาในอดีต อย่าง หน่อไม้ บางคนเชื่อว่าจะยิ่งทำให้ไข้สูง ไข้ไม่ลด ก็ไม่เกี่ยวกัน แต่ที่   ไม่ควรกิน คือ หน่อไม้ดอง เพราะอาหารรสเค็มทุกชนิดมีโซเดียมสูง  อาหารทะเล จริง ๆ กินได้ ดีด้วยซ้ำ เพราะอาหารทะเลมีไอโอดีนเยอะ จะไปช่วยปรับสมดุลในร่างกาย

ฝรั่งก็กินได้ เพราะฝรั่งมีวิตามินซีเยอะ จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับ  ร่างกาย แต่ที่กลัวกัน คือ ในฝรั่งมีโพแทสเซียม ถ้ามีไข้สูงและเป็นโรคไตด้วยไม่ควรกิน เพราะอาจทำให้เกิดอาการชักได้  ถ้าไม่เป็นโรคไต ก็สามารถกินฝรั่งได้ตามปกติ แต่ใน 1 วัน ไม่ควรกินฝรั่งเกิน 5 มิลลิอีควิวาเลนท์ คำนวณแล้วก็ประมาณ  2 กิโลกรัมขึ้นไป ในความเป็นจริงเชื่อว่าคงไม่มีใครกินฝรั่งในปริมาณที่มากมายขนาดนั้น ดังนั้นถ้าไม่ได้มีไข้สูง เป็นแค่ไข้ธรรมดา และไม่ได้เป็นโรคไต ก็สามารถกินฝรั่งได้ตามปกติ
  
ส่วนผลไม้อื่นที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย ส้มโอ สามารถรับประทานได้เช่นกัน เพราะอย่างที่บอกจะต้องรับประทานมากถึง 2 กิโลกรัมขึ้นไป จึงอาจจะทำให้เกิดอันตราย 

น้ำเย็น การดื่มน้ำเย็นไม่ได้เป็นอันตราย แต่จะทำให้ร่างกายดูดซึมได้เร็วกว่า ส่วนการกินน้ำแข็งก็ไม่เป็นอันตรายอะไร ดังนั้นเวลาเป็นไข้ ขอแนะนำว่าควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เข้าไว้

อาหาร พืช ผัก ผลไม้รสเย็น เช่น  ฟัก แฟง แตงกวา แตงโม สามารถกินได้ เพราะมีน้ำเยอะ อะไรก็ตามที่ไปเพิ่มน้ำให้กับร่างกาย ในภาวะที่ร่างกายเหงื่อออกเยอะ สามารถกินได้ทั้งนั้น ดังนั้นจึงควรกินผัก ผลไม้ที่มีน้ำเยอะ ๆ โดยเฉพาะน้ำผลไม้จะมีน้ำตาลดูดซึมได้ดี ไม่เป็นเชื้อเพลิงให้กับไข้ หลักสำคัญจงจำเอาไว้ว่า อย่ากินอะไรที่ไปจุดไฟในร่างกายให้ร้อนขึ้น แต่ควรกินอาหารรสเย็น เพื่อไปดับไฟในร่างกาย 

ท้ายนี้ผู้เขียนหวังว่าผู้อ่านคงจะได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์ในอีกแง่มุมหนึ่ง เป็นการปฏิวัติความเชื่อเดิม ๆ ที่เคยมีมาในอดีต ต่อไปคงจะบอกกับลูกน้อยได้อย่างถูกต้องว่า อะไรควรกินหรืออะไรเป็นของแสลงยามเป็นไข้ 

วิธีเลือกกินอาหารอย่างไรให้ได้ประโยชน์

- กินอาหารเช้า
 การกินอาหารเช้า จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น 

เคล็ดลับสุขภาพอาหารมีประโยชน์

- เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร
       ลองเปลี่ยนไปใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันดอกทานตะวันปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิม ๆ ที่เคยใช้ เพราะน้ำมันทั้งสองชนิดนี้ทำให้ไม่มีไขมันในเส้นเลือด

- ดื่มน้ำให้มากขึ้น
     ควรดื่มน้ำวันละประมาณ 8-10 แก้วเพื่อเป็นการหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น

- เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก
      ควรกินปลาตัวเล็ก เต้าหู้ หรือผักใบเขียว เพราะอาหารประเภทนี้มีแคลเซียมสูง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก

- เลิกกินขนมขบเคี้ยว
       เพราะขนมเหล่านี้มีไขมันและน้ำตาลสูง ซึ่งจะไปทำลายสุขภาพ ถ้าอยากกินขนมขบเคี้ยว ลองหันมากินผลไม้แทนจะดีกว่าเพราะมีวิตามินและไฟเบอร์ซึ่งมีประโยชน์มากกว่า

- กินธัญพืชและข้าวกล้อง
       เมล็ดทานตะวัน ข้างฟ่าง ลูกเดือย ข้าวกล้อง รวมทั้งเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ สามารถลดคอเลสเตอรอลและควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

- เปลี่ยนชนิดของผักผลไม้
       พยายามกินผักผลไม้ต่าง ๆ ให้หลากสีอย่ายึดติดอยู่กับการกินเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะพืชต่างสีกันสารอาหารก็จะต่างชนิดกัน

- หันมากินปลากันดีกว่า
       เพราะในเนื้อปลาจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีนที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และยังช่วยบำรุงเซลล์สมองที่สำคัญยังมีไขมันน้อย

- กินถั่วเป็นประจำ
        ในถั่วมีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ ๆ อยู่หลายชนิด ดังนั้นควรที่กินถั่วอย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างแร่ธาตุให้กับร่างกาย 

ถ้าเพื่อน ๆ อยากมีสุขภาพร่างกายที่ดี ลองมาปรับเปลี่ยนวิธีการกินอาหารของเราเสียใหม่ เพื่อเป็นการเสริมสร้างสุขภาพที่ดี ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

เคล็ดลับง่าย ๆ การมีสุขภาพดีและอายุยืน

การคิดเชิงบวก ทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ และมองโลกในแง่ดี เป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดลับทำให้มีอายุยืน การพักผ่อน ทำให้เกิดสมาธิ หาเวลาว่างวันละ 10-15 นาทีนั่งเฉย ๆ และควรเข้านอนแต่หัวค่ำ หลับอย่างน้อยคืนละ 7 ชั่วโมง


- ไม่กินอิ่มจนมากเกินไป ลดอาหาร ของหวาน และของขบเคี้ยวที่มีไขมันและให้พลังงานสูงไป

- ออกกำลังกาย เดิน ให้ได้อย่างน้อยวันละ 45 นาที แต่หากมีอายุมากขึ้นควรออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัย เช่น โยคะ

- หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์

- ควบคุมน้ำหนัก การมีน้ำหนักเกินจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด มะเร็งที่อวัยวะต่างๆ

- ลดความเครียด

- คิดเชิงบวก อารมณ์แจ่มใส และการมองโลกในแง่ดี

- มีศรัทธา ความมุ่งมั่น หากมีพลังใจแรงกล้าก็จะสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้

- หัวเราะวันละนิด กล้ามเนื้อจะผ่อนคลายร่างกายเกิดความสมดุลมีความสุข

เพียงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตง่าย ๆ เท่านี้ก็สามารถทำให้มีสุขภาพที่ดี และที่สำคัญยังทำให้มีอายุยืนได้อีกด้วย

SUPER FOODS อาหารพิเศษของคนวัยทอง

"ซูเปอร์ฟู้ดส์" เป็นอาหารที่จัดอยู่ในประเภทอาหารฟังก์ชั่น (Functional foods) คือ อาหารที่ทำหน้าที่นอกเหนือจากการให้สารอาหารพื้นฐานที่ร่างกายต้องการ โดยมีองค์ประกอบพิเศษช่วยเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เช่น ใยอาหาร สารแอนติออกซิแดนต์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ สารพฤษเคมี จุลินทรีย์หรือสารพรีไบโอติกส์ ซึ่งเป็นสารของจุลินทรีย์ที่ดีและอื่นๆ อีกมากมาย



5 Super Foods ของคนวัยทอง ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้หญิงวัยทองควรรับประทานซูเปอร์ฟู้ด 5 ชนิดต่อไปนี้อยู่เป็นประจำ

1. เต้าหู้ 

โปรตีนสูงจาก ถั่วเหลืองใช้แทนเนื้อสัตว์ได้ดี โปรตีนถั่วเหลืองช่วยลดคอเลสเทอรอล ป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังมีสารไฟโตเอสโตรเจน ป้องกันมะเร็ง กระดูกพรุน และลดอาการของหญิงวัยหมดประจำเดือน เช่น ร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน เป็นต้น (เต้าหู้ 1 ถ้วยตวงให้พลังงาน ประมาณ 180 กิโลแคลอรี)

2. ถั่วเมล็ดแห้ง 

เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเนวี ถั่วเขียว บรรดาถั่วเมล็ดแห้งมีใยอาหารสูงมาก โดยเฉพาะใยอาหารชนิดละลายน้ำ มีรายงานการวิจัยว่า ใยอาหารช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และผนังลำไส้โป่งพอง ผู้หญิงควรได้รับใยอาหารประมาณวันละ 30 กรัม นอกจากนี้ถั่วประเภทนี้ยังมีแมกนีเซียมสูงโดยเฉพาะถั่วดำ ถั่วดำสุก 1 ถ้วยตวงให้แมกนีเซียม120 มิลลิกรัมจากความต้องการ 320 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ใหญ่ที่ได้รับแมกนีเซียมจากอาหารไม่เพียงพอจะมีระดับสารซีอาร์พี (CRP) 
ในเลือดสูงทำให้เกิดการอักเสบภายในร่างกายได้ง่าย

3. บลูเบอร์รี่ 

เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์แอนติออกซิแดนท์อยู่ในอันดับต้นๆ งานวิจัยล่าสุดรายงานว่าอาจช่วยลดความจำเสื่อมระยะสั้น โดยบลูเบอร์รี่สด 1/2 ถ้วยตวง ให้พลังงานเพียง 40 กิโลแคลอรี

4. โยเกิร์ต 

มีไขมันต่ำ แต่มีแคลเซียมและโพแทสเซียมสูงกว่านม แคลเซียมและโพแทสเซียมช่วยลดความดันโลหิต แคลเซียมช่วยป้องกันกระดูกพรุน และลดน้ำหนัก ในโยเกิร์ตยังประกอบไปด้วยจุลินทรีย์ชนิดดี เช่น แล็คโทแบซิลัส และแอซิโดฟิลัสช่วยเพิ่มภูมิต้านทานและกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ป้องกันการติดเชื้อยีสต์ และการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ

5. อะโวคาโด 

ประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี และมีไขมันชนิดดี คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวในปริมาณมากเช่นเดียวกับน้ำมันมะกอก ช่วยให้ผมและผิวมีสุขภาพดี สำหรับผู้ที่ชอบทานอโวคาโด อาจใช้แทนน้ำสลัดข้นๆ หรือมายองเนส โดยอโวคาโด 1/2 ถ้วยตวง ให้พลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี

ซูเปอร์ฟู้ดส์หลากหลายชนิดที่แนะนำนี้ คงกลายเป็นเมนูสุขภาพที่หมุนเวียนบนโต๊ะอาหารของคุณได้ไม่รู้เบื่อใช่ไหม เพื่อเพิ่มพลัง ลดโรค และเป็นรากฐานสู่การมีอายุยืนยาวอย่างมีสุขภาพที่ดี

สารอาหารสำคัญที่ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก

เป็นที่ทราบกันดีว่าผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่มุ่งเน้นเพื่อการควบคุมน้ำหนัก กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีความสะดวกในการซื้อ ปลอดภัย มีคุณภาพ และยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ที่กำลังมองหาวิธีลดน้ำหนัก ว่ากันว่าเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง มีการจดสิทธิบัตรของสารที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมน้ำหนักได้มากกว่า 125 ชนิดและ สำหรับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีจำหน่ายนั้น สามารถแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ ตามกลไกการออกฤทธิ์ได้ดังนี้

สารอาหารสำคัญที่ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก

    1. กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต(Modulate Carbohydrate Metabolism) 

      - Chromium จัดเป็นแร่ธาตุที่เกี่ยวข้องกับเมตาบอลิซึมของน้ำตาลกลูโคสโดยตรง การขาดแร่ธาตุชนิดนี้เชื่อว่าสัมพันธ์กับภาวะระดับน้ำตาลและไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูง รวมทั้งทำให้ระดับไขมันชนิดดีลดต่ำกว่าปกติ ด้วยเหตุนี้จึงมีการนำโครเมียมมาใช้เพื่อรักษาสมดุลของน้ำตาลซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยป้องกันการสะสมของน้ำตาลส่วนเกิน 
      - Ginseng Extract จากการศึกษาคุณสมบัติ glucose tolerance ของโสม (Panax Ginseng) พบว่าสามารถช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ในลักษณะเดียวกัน 

    2. กลุ่มที่เพิ่มความอิ่มและยับยั้งการดูดซึมไขมัน(Purported to Increase Satiety and Block Lipid Absorption) 

        Psyllium Seed Husk, Chitosan, Pectin จาก Apple Cider และ Dietary Fiber กลุ่มเส้นใยอาหารเหล่านี้มักมีส่วนประกอบของเส้นใยที่สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งจะดูดซับน้ำไว้ทำให้เกิดการพองตัวออก จึงทำให้ผู้ที่รับประทานรู้สึกอิ่ม 
        นอกจากนี้ยังช่วยขัดขวางการดูดซึมไขมันส่วนเกิน โดยเฉพาะ Chitosan ซึ่งเป็นโพลิเมอร์ธรรมชาติที่มีประจุบวกซึ่งสามารถจับกับละอองไขมันที่มีประจุลบได้ จึงเท่ากับเป็นการลดการดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกาย

    3. กลุ่มที่ลดการสังเคราะห์กรดไขมัน(Purported to Reduce Fat Synthesis)

     - Hydroxycitric Acid (HCA) จากผลส้มแขก (Garcinia cambogia) มีงานวิจัยที่ใช้สารสกัด HCA 750 มก.ต่อวันในสตรี 89 คนที่มีน้ำหนักตัวเกิน (BMI=28.6) พบว่าสามารถลดน้ำหนักตัวลงได้ประมาณ 1.3 kg. ภายใน 12 สัปดาห์

     - Conjugated Linoleic Acid (CLA) มีรายงานว่าสามารถลดการสะสมไขมันในหนูที่มีน้ำหนักเกินได้ เนื่องจากคุณสมบัติในการเพิ่มการสลายไขมันและลดการสะสมของไตรกลีเซอร์ไรด์ในเนื้อเยื่อไขมัน
     - Green Tea ชาเขียวสกัด สามารถเพิ่มการสลายไขมันและยังมีฤทธิ์เร่งปฏิกริยาการเผาผลาญให้กับร่างกายมากขึ้น 
     - Pyruvate มีรายงานว่า Pyruvateเกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนักถึง 1.2 kg ใน 6 สัปดาห์ 
     - Vitamin B-5 จัดเป็นวิตามินที่เกี่ยวข้องกับการเร่งการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
     - L-Carnitine สามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญของไขมันสะสมได้อย่างมีนัยสำคัญและมีความปลอดภัยสูงแม้ว่าจะรับประทานในขนาดที่สูงถึง 4 กรัมต่อวันก็ตาม
     - Laminaria (Kelp) พืชตระกูลสาหร่ายชนิดหนึ่งที่เป็นแหล่งของแร่ธาตุไอโอดีน โดยพบว่าการเพิ่มการสลายไขมันนั้นสัมพันธ์กับการสร้างฮอร์โมนของร่างกายที่ช่วยในระบบการเผาผลาญอาหาร 

และทั้งหมดก็คือ ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมน้ำหนัก อย่างไรก็ตามการที่สามารถควบคุมน้ำหนักให้ได้ผลดีนั้น อาจต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิตร่วมด้วย โดยเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันและแคลอรี่ต่ำ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงความตั้งใจในการลดน้ำหนักและทั้งหมดก็คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมน้ำหนักตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

เคล็ดลับเด็ด ๆ สำหรับการดูแลผิวที่สูญเสียความกระชับเต่งตึง

สำหรับสาวๆ ที่พบปัญหาในเรื่องเทคนิคการดูแลผิว เราอย่าได้ไปโทษใครเลย เราต้องโทษกาลเวลาและธรรมชาติที่ผ่านไป

เคล็ดลับเด็ด สำหรับการดูแลผิวที่สูญเสียความกระชับเต่งตึง
เมื่อกาลเวลาผ่านไปมากขึ้น โครงสร้างผิวหนังก็เริ่มเสื่อมสภาพตามไปด้วย ทำให้ผิวพบกับปัญหามากมาย ทั้งกระบวนการฟื้นฟูตัวเองที่ช้าลง รูขุมขนขยายใหญ่ขึ้น ทำให้ผิวหน้าดูหยาบ และผิวเริ่มเหี่ยวไม่กระชับเต่งตึงเหมือนแต่ก่อน วิธีที่เราสามารถทำเพื่อรับมือกับปัญหานี้ ดูจะมีอยู่สองประการใหญ่ ๆ นั่นคือ เทคนิคการดูแลผิวด้วยตัวเอง และการเข้ารับเทคนิคการดูแลผิวจากแพทย์ เพราะเมื่ออายุมากขึ้น การเสื่อมสภาพของร่างกายและผิวก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ความสมบูรณ์ของโครงสร้างผิวเริ่มสูญเสีย เช่นเดียวกันกับระดับคอลลาเจนและอีลาสตินของผิวที่ลดลง ผิวจึงแลดูหย่อนคล้อย รู้สึกไม่กระชับเหมือนเคย 

นอกเหนือจากนี้ปฏิกิริยา Glycation ที่มีสาเหตุมาจากปัจจัยภายนอก เช่น รังสี UV ความเครียด และวัยที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไปทำให้ความสมบูรณ์หรือคุณภาพของ คอลลาเจนลดลง คอลลาเจนที่มีโครงสร้างเปลี่ยนไป จะมีความแข็งกร้านและไม่ยืดหยุ่น ส่งผลให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่น

รับมือผิวเสื่อมสภาพด้วยตัวเอง

หลักการง่ายๆคือถ้าให้เราสังเกตุก่อนเลยว่าผิวเราเริ่มเสื่อมสภาพหรือยัง ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า การทำให้ผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพไปแล้วกลับมากระชับเช่นดังเดิมนั้นเป็นไปได้ ยาก หนทางที่พอแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองได้คือการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและยืดหยุ่นให้ผิว แม้จะได้ผลเพียงในระยะสั้น ๆ ก็ตาม หรืออาจใช้ครีมบำรุงผิวที่เป็น "แอคทีฟ ทรีตเม้นท์" เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของเรตินเอ, เซรั่มวิตามินซี,  ครีมที่มีส่วนผสมของ AHA และ BHA 

ส่วนเรื่องรูขุมขนที่เริ่มขยายตัวนั้น อาจไม่สามารถทำให้มันกระชับขึ้นได้มาก แต่คุณสามารถป้องกันและชะลอการขยายตัวของมันได้ ด้วยการใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวหน้าเป็นประจำทุกวัน เพราะแสงแดดเองสามารถทำร้ายโครงสร้างของผิวหน้า และทำให้รูขุมขนดูกว้างขึ้นได้ และที่สำคัญต้องกินอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผิวนะคะ เช่นผัก ผลไม้

จัดการปัญหาผิวด้วยการพบแพทย์

หากคุณต้องการจัดการกับปัญหาผิวสูญเสียความกระชับอย่างมีประสิทธิภาพและเห็น ผล การเข้าพบแพทย์น่าจะเป็นคำตอบที่ดีสำหรับคุณ โดยแพทย์อาจแนะนำให้คุณทำทรีตเม้นท์ด้วยการเลเซอร์เพื่อปรับโครงสร้างผิว เพราะการให้ความร้อนกับโครงสร้างชั้นใต้ผิวจะช่วยกระชับไฟเบอร์ในชั้นผิว ทำให้ผิวดูกระชับขึ้นอีกครั้ง ส่วนการกระชับรูขุมขนนั้นสามารถช่วยได้ด้วยการทำเลเซอร์เช่นกัน แต่หากคุณต้องการให้เห็นผลอย่างชัดเจนมากขึ้น ลองปรึกษาแพทย์ของคุณเพื่อขอรับยาในกลุ่มเรตินเอ แม้ว่าคุณจะไม่มีปัญหาเรื่องสิวหรือริ้วรอย แต่ยาชนิดนี้ก็สามารถช่วยจัดการกับปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้างได้เช่นกัน