ต้านโรคหวัดได้ง่าย ๆ ด้วยอาหาร 7 ชนิด

ต้านโรคหวัดด้วยตัวเองง่าย ๆ ด้วยอาหาร 7 อย่าง

อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตก ดูเหมือนว่าคนใกล้ตัวจะเป็นหวัดกันมากขึ้น เรามาหาวิธีป้องกันโรคหวัดด้วยวิธีง่ายๆ กับอาหาร 7 อย่างที่ช่วยต้านหวัด กันครับ


1.โยเกิร์ต 
ไม่ว่าจะกินเปล่า ๆ หรือกินคู่กับซีเรียล และผลไม้ โยเกิร์ตก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตนับล้าน ที่ปกป้องร่างกายจากแบคทีเรียอันตรายและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่จะเข้ามาทำร้ายเรา พวกมันเหมือนกองทหารที่อยู่ในลำไส้ คอยขับไล่สิ่งแปลกปลอมที่คิดร้าย โดยกองทหารพวกนี้ มีชื่อคุ้นหูว่า  โปรไบโอติกส์  ทั้งแล็กโตบาซิลลัส และไบไฟโดแบคทีเรียม ซึ่งจะไปเพิ่มเม็ดเลือดขาว ในร่างกายและป้องกันเชื้อโรคได้นั่นแหละ 


2.ชา 
เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ยอดนิยมรองลงมาจากน้ำเปล่า ชาทั่วไปจะมีสารโพลีฟีนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยฆ่าแบคทีเรีย ไวรัส และยับยั้งอาการอักเสบ นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังเชื่อว่าประโยชน์ส่วนหนึ่งของชาอยู่ที่ความอุ่น สำหรับคนที่เป็นหวัดแล้ว เครื่องดื่มหรือน้ำซุปอุ่น ๆ จะให้ความรู้สึกไหลลื่น และการสูดเอาไออุ่น ๆ จากชาเข้าไปก็จะช่วยให้โล่งจมูกได้มาก อย่างไรก็ดี การเติมนมลงไปในชา อาจทำให้ร่างกายของเราดูดซึมสารคาเตชินได้ไม่มากเท่าที่ควร ดังนั้น ถ้าอยากต้านหวัดจริง ๆ ก็ดื่มชาอุ่น ๆ ธรรมดาดีกว่านะ 


3.หอยนางรม 
อย่าเอ็ดไป แต่เขาบอกว่า หอยนางรมคือยาปลุกพลังชั้นดีที่สุดที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพราะสังกะสีที่มีอยู่ในหอย จะช่วยปลุกฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนให้แก่ทั้งชายและหญิง หุหุ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ประเด็นอยู่ที่ว่า สังกะสีช่วยปกป้องเราจากหวัดและไข้หวัดใหญ่ได้ต่างหาก มันจะทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดีขึ้น เพื่อตักจับและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย 

แต่ทั้งนี้ FDA เขาก็เตือนมาว่าอย่ากินสังกะสีเกินวันละ 11 มิลลิกรัม ไม่งั้นมันจะเป็นพิษ โดยหอยนางรมตัวปานกลางหนึ่งตัวจะมีสังกะสีมากถึง 12.7 มิลลิกรัม มากกว่าปริมาณที่สาว ๆ ต้องการในหนึ่งวันอีกนะ ดังนั้น 1 วัน 1 ตัว ก็พอแล้วจ้า


4.ขมิ้น 
ใครนึกไม่ออกว่าจะกินขมิ้นอย่างไรก็ควรจะลองกินแกงกะหรี่สีเหลืองดู และสาเหตุที่ขมิ้นมีสีเหลืองออกทองก็เป็น เพราะสารเคอร์คิวมินซึ่งเป็นโพลิฟีนอลตัวหนึ่งนี่เอง โดยการศึกษาในปี 2008 จาก Biochemical and Biophysical Research Communications ชี้ว่าสารเคอร์คิวมินนี้ช่วยไม่ให้เกิดการอักเสบในร่างกายได้ สำหรับผงขมิ้นแล้ว ถ้าใช้ภายนอกจะมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้ออีกด้วย...วิเศษสุด ๆ 


5.พริกหวานสีแดง 
ถ้าเทียบกันแบบนักมวยกิโลฯ ต่อกิโลฯ พริกหวานสีแดงมีวิตามินซีมากกว่าผักและผลไม้อื่น ๆ ถึงสองเท่า วิตามินซี เป็นที่รู้จักดีในฐานะวิตามิน เพื่อดูแลผิวพรรณ ดังนั้น เมื่อผิวพรรณแข็งแรง ก็เท่ากับว่าปราการด่านแรกของร่างกายแข็งแรงไปด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวและการสร้างแอนตี้บอดี้ด้วย


6.ฟักทอง 
ท่องกันมาตั้งแต่เด็กว่าฟักทองมีวิตามินเอ และวิตามินเอนี่ล่ะที่ช่วยให้เซลล์ แต่ละเซลล์ของเราสื่อสารกันได้อย่างปกติ (จึงช่วยป้องกันมะเร็งด้วย) การกินวิตามินเอเป็นประจำจะทำให้ทางเดินหายใจมีสุขภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งเหมาะกับหน้าหวัดเป็นอย่างยิ่ง แต่จุ๊ ๆ อย่าเพิ่งดีใจไป การกินวิตามินเอมากเกินไปไม่ดีเลยนะ มันอาจไปสะสมอยู่ในเซลล์ไขมัน และเมื่อมีมาก ๆ ก็เป็นอันตรายได้ ถ้าใครคิดอยากกินวิตามินเอจากแคปซูล ก็น่าจะลองกินฟักทองดีกว่านะ ปลอดภัยกว่ากันเยอะ


7.บร็อกโคลี่ 
สีเขียวเข้มสวยกับใบพุ่มใหญ่ ๆ คอยบอกใบ้ว่าบร็อกลี่ดีต่อสุขภาพของเรามาก ๆ บร็อกโคลี่เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลผักกาด ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย และเป็นแหล่งของวิตามินเอ ซี อี นอกจากนี้ ยังมีสารกลูโคไซโนเลต สังกะสี และซีลีเนียม ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานจากเชื้อโรคต่าง ๆ ขอแค่เพียง บร็อกโคลี่วันละหนึ่งถ้วย เราก็ได้วิตามินซี เท่าที่ต้องการในแต่ละวัน ป้องกันเชื้อโรค และอาการอักเสบภายในร่างกายได้ 

ไปหน้าแรก   การดูแลสุขภาพ



ออกกำลังกายด้วยการเดิน ช่วยชะลอสมองเสื่อม

เดินชะลอสมองเสื่อมต้องเดินอาทิตย์หนึ่งให้ได้ระยะไกล 8 กม.

เดินออกกำลังกายชะลอสมองเสื่อม

ออกกำลังด้วยการเดินให้ได้อาทิตย์ละ 8 กม. จะช่วยชะลออาการคืบหน้าของโรคสมองเสื่อมให้เนิ่นนานออกไปได้ 

คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์กของสหรัฐฯ ได้พบจากการติดตามศึกษาผู้ที่แข็งแรง 299 คน เทียบกับผู้มีอาการสติปัญญาและความจำเสื่อมอย่างอ่อน อันเป็นอาการแรกเริ่มของโรคสมองเสื่อม 127 คน

รังสีแพทย์ไซรัส ราช นักวิจัย บอกชี้แจงว่า "เพราะว่ายังไม่มีวิธีรักษาโรคสมองเสื่อม เราต้องการจะหาวิธีชะลอความคืบหน้า หรือบรรเทาอาการของโรค ของผู้ที่มีอาการสติปัญญาเสื่อมอยู่แล้วลง"

มหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์กกล่าวว่า จากการตรวจเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ผู้ที่เดินอาทิตย์หนึ่งได้ไกลกว่านั้น สมองจะโตใหญ่ยิ่งขึ้น แต่ผู้ที่เป็นสมองเสื่อม ควรจะพยายามเดินให้ได้อาทิตย์ละไม่ต่ำกว่านั้น เพื่อจะรักษาขนาดของสมองของตนเองให้คงอยู่ได้นานเกินกว่า 10 ปี

วารสารวิชาการของ "สมาคมรังสีวิทยาแห่งอเมริกาเหนือ" ได้รายงานผลการศึกษาครั้งนี้ว่า  "โรคสมองเสื่อมเป็นโรคที่ก่อความเสียหายรุนแรง และก็น่าเสียดายว่า การเดินก็ยังไม่อาจทำให้หายได้ แต่จะช่วยให้สมองทนกับโรคมากขึ้น และความจำจะเสื่อมน้อยลงไปได้"

ไปหน้าแรก  เคล็ดลับสุขภาพ


การเลือกซื้อนมและการดื่มนมให้เหมาะสมตามช่วงอายุ


ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย 


นมเป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับบุคคลทุกเพศทุกวัย ซึ่งนมก็มีให้เลือกหลากหลาย  ไม่ว่าจะเป็นนมจืดและนมปรุงแต่งชนิดต่าง   ซึ่งแร่ธาตุแคลเซียม และฟอสฟอรัสในนมจะช่วยให้กระดูกและฟันของเรานั้นแข็งแรง นมมีโปรตีน น้ำตาลแลคโตส และวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินเอ  จะช่วยในการมองเห็นและบำรุงเนื้อเยื่อ  และวิตามินบีสอง จะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และเนื้อเยื่อต่างๆ ทำหน้าที่เป็นปกติ

             หลักการเลือกซื้อนม

             - ควรเลือกดื่มนมที่บรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท 
             - ควรที่จะดูฉลากวันที่หมดอายุด้วย   
             - ไม่ควรดื่มนมที่หมดอายุ   นมที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อน นมที่กล่องชำรุด หรือนมพลาสเจอร์ไรส์ที่ไม่ได้เก็บในตู้เย็น  ซึ่งนมบางชนิดนั้น ต้องมีการเก็บรักษาที่ถูกต้อง  เช่น นมพาสเจอร์ไรส์ หรือโยเกิร์ต ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 10 องศาเซลเซียส
             - หญิงตั้งครรภ์ เด็กวัยเรียนและเด็กวัยรุ่นควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ วันละ 1-2 แก้ว 
             - ผู้มีปัญหาโรคอ้วน หรือมีไขมันในเลือดสูงควรดื่มนมพร่องมันเนย 

             กรณีที่ซื้อนมเปรี้ยวชนิดดื่ม ควรเลือกชนิดที่ทำจากนม ที่มีเนื้อนมในปริมาณสูง โดยให้ดูที่ข้างกล่อง หรือขวด จะทำให้ได้คุณค่าอาหารใกล้เคียงนมสด ผู้ใหญ่บางคนไม่สามารถดื่มนมสดได้ เนื่องจากดื่ม แล้ว เกิดปัญหา ท้องเดิน หรือท้องอืด เพราะร่างกายไม่สามารถ ย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ จึงอาจปรับเปลี่ยนวิธีการ โดยให้ดื่มนมครั้งละน้อยๆ เช่น 1/4 แก้ว แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น ดื่มนมหลัง อาหารหรือดื่มนมถั่วเหลือง หรือเปลี่ยนเป็นกินโยเกิร์ตชนิดครีม ซึ่งจัดเป็น นมเปรี้ยวชนิดหนึ่ง นมเปรี้ยว มีจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อคน และสามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม ช่วยลด ปัญหา ท้องเดิน หรือท้องอืด 

             นมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง ให้โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ ที่มีประโยชน์ ต่อร่างกาย จึงดื่มได้เป็นประจำเช่นกัน นมนั้นมีประโยชน์กับตัวเราเป็นอย่างมาก  ถ้าเราดื่มอย่างถูกวิธี  และมันก็มีโทษเช่นกันถ้าหากเราดื่มไม่ถูกวิธี


บอกเล่าสุขภาพร่างกาย ด้วยอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย จากหัวจรดปลายเท้า

เล็บเปราะ ผมแห้ง หรือมีรอยยับย่นตรงใบหูส่วนล่าง เหล่านี้เป็นหนึ่งในอาการหลายอย่างที่พอจะบอกได้ว่าร่างกายกำลังส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับสุขภาพของคุณเข้าแล้ว ดร.ฮอลลี ฟิลลิปส์ กล่าวในรายการ "ดิ เออร์ลี่โชว์ ออนแซทเทอร์เดย์มอร์นิง" ของโทรทัศน์ซีบีเอส นิวส์ เมื่อไม่นานนี้ว่า สัญญาณความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในร่างกายนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องให้ความสนใจกันเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ "สำคัญอย่างเหลือเชื่อ" จึงควรจะต้องคอยตรวจดูร่างกายของตัวเอง เพื่อเป็นตัวชี้วัดและตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างอ้อมๆที่เกิดขึ้น

ดร.ฟิลลิปส์ได้ยกตัวอย่างและให้คำแนะนำว่า ควรจะต้องดูสัญญาณความเปลี่ยนแปลงในร่างกายจากศีรษะจดปลายเท้ากันอย่างไรบ้าง โดยให้ลองสังเกต

ขนตา หากพบว่าขนตาตรงส่วนปลายๆ ร่วงหรือสั้นลง แสดงว่าฮอร์โมนไธรอยด์ต่ำ

หนังตา ถ้ามีรอยบวมเป็นตุ่มจิ๋วๆ อยู่ในมุมข้างในตาก็ชัดแล้วล่ะว่านั่นเป็นไขมันสะสม ทั้งแน่นอนว่าเป็นสัญญาณสำคัญของการมีคอเลสเทอรอลสูง

ดวงตา ถ้าดูแล้วเหมือนโปนขึ้น นั่นอาจเป็นสัญญาณแสดงว่ามีฮอร์โมนไธรอยด์สูงเกิน และถ้าส่วนตาขาวเริ่มเป็นสีเหลือง คุณอาจจะเป็นโรคตับ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดี แต่การกินยาบางตัวก็อาจ ทำให้เกิดปัญหาแบบนี้ได้เช่นกัน

ผม ผมที่แห้งหรือเปราะก็เป็นตัวบ่งบอกถึงปัญหาไธรอยด์ หรือสัญญาณการขาดธาตุเหล็ก และหากเกิดอาการผมร่วงฉับพลัน บ่อยครั้งก็เป็นสัญญาณว่ากำลังเครียดเกินไป

ใบหูส่วนล่าง ถ้ามีรอยยับย่นเป็นเส้นทแยงมุม ซึ่งก็อาจจะมองเห็นไม่ค่อยง่ายเท่าไร แต่มันอาจจะเป็นตัวส่งสัญญาณอย่างสำคัญทีเดียว เพราะจากสถิติของสถาบันสุขภาพแห่งชาติในอเมริกาพบว่ารอยยับย่นเป็นเส้นทแยงมุมที่ใบหูส่วนล่างนั้น จะเชื่อมโยงกับปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจวาย เพราะอาจจะเกิดจากการที่เกิดการอุดตันทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวกภายในร่างกาย

อาการผิดปกติของร่างกายตามอวัยวะส่วนต่างๆที่ว่ามา หากสังเกตเห็นแต่เนิ่นๆ แล้วรีบไปพบแพทย์ให้ ตรวจตามหลักวิชา อาจช่วยให้รู้เร็ว รักษาหายเร็วได้

ไปหน้าแรก   การดูแลสุขภาพ