6 ข้อเท็จจริงในการดื่มกาแฟเพื่อสุขภาพ

อัพเดทความรู้ใหม่ และสลัดความเชื่อเก่าที่ผิดๆ เรื่องกาแฟทิ้ง...เพราะมันให้คุณมากกว่าโทษ ถ้าคุณรู้จักดื่ม และนี่คือ 6 ข้อเท็จจริงที่เราเอามาบอก 

     ไม่จริงว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้ ส่งผลให้ทารกแรกคลอดน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน ถ้าคุณดื่มเพียงวันละ 1-2 ถ้วย 



ไม่รู้ใช่มั้ย...กาแฟช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ และสำหรับนักกีฬาจะช่วยเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน 
  
      ต้องดื่มบ่อยๆ... สำหรับ ผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะต้องการแก้ง่วง แนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.) ในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล.) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาที และจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย 
  
     กาแฟดีกว่าไวน์และชาสมุนไพร... เมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพร และไวน์แดง ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟ 

      ระวังไว้นิดก็ดี... องค์ประกอบหลักของกาแฟคือ สารกาเฟอีน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่มีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หรือเต้นผิดปกติในบางครั้ง และเพิ่มความดันโลหิต งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัด กาเฟอีนช้า ทำให้กาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดกาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็จะไม่มีผล  
  
      ดีแคฟ...ไม่ช่วยอะไร ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดกาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดกาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้างแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลตัวร้ายได้ เพราะในกระบวนการสกัดกาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูล อิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ ๆ ออกไปด้วย ดังนั้น การดื่มดีแคฟนอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้ว ยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย

ไปหน้าแรก  เคล็ดลับการดูแลสุขภาพ




ผู้ที่มีไลฟ์สไตล์แบบนั่งๆ นอน ๆ ไม่ค่อยออกกำลังกาย จะมีแนวโน้มแก่เร็วกว่าปกติ

การใช้ชีวิตแบบนั่งๆ นอนๆ ห่างเหินจากการออกกำลังกาย อาจทำให้แก่เร็วกว่าปกติ

คนที่ใช้เวลาว่างไปกับการออกกำลังกายดูจะมีสภาพร่างกายชีวภาพที่อ่อนวัยกว่าคนที่เอาแต่นั่งๆ นอน ๆ คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีโอกาสเป็น โรคหัวใจ, เบาหวานแบบ Type 2, มะเร็ง, ความดันโลหิตสูง, โรคอ้วนและโรคกระดูกพรุนน้อยกว่าคนปกติ ตามข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา ในบทความ “ผู้ที่มีไลฟ์สไตล์แบบนั่งนิ่งๆ จะมีแนวโน้มที่จะมีความแก่ชรา ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยและการตายก่อนวัยอันควร” ซึ่งผู้เขียนได้กล่าวว่า

“การอยู่นิ่งๆ จะทำให้มีแนวโน้มว่าจะอายุสั้นลง ไม่เพียงแต่เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น แต่มีผลกับกระบวนการแก่ชราโดยตัวมันเอง”


ความไม่กระตือรือร้นจะทำให้เราอายุสั้นลง เนื่องจากมีอิทธิพลต่อกระบวนการต่าง ๆ ในร่างกาย มิใช่แค่เสี่ยงต่อการเกิดโรคตามอายุขัยมากขึ้นเท่านั้น

ดร. Lynn F. Cherkas จากมหาวิทยาลัย King s College London และคณะร่วมกันศึกษาฝาแฝดผิวขาวจำนวน 2,401 คู่ เกี่ยวกับกิจกรรมที่ทำ พฤติกรรมการสูบบุหรี่ และสถานภาพทางการเงินในสังคม นอกจากนั้นยังเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อนำไปสกัดดีเอนเอจากเม็ดเลือดขาวแล้วตรวจความยาวของลำดับเบสที่ซ้ำ ๆ กันบริเวณ telomere ซึ่งเป็นลำดับเบสอยู่บริเวณปลายสายโครโมโซม ในคนทั่วไป telomere ของเม็ดเลือดขาวจะสั้นลงตามระยะเวลาส่งผลให้เราแก่ชราตามอายุขัย พูดง่า ๆ ก็คือความยาวของลำดับเบสบริเวณ telomere เปรียบเสมือนกับสัญลักษณ์บ่งบอกอายุของเรานั่นเองครับ 
สำหรับคนทั่วไปลำดับเบสบริเวณ telomere จะสั้นลงประมาณ 21 นิวคลีโอไทด์ต่อปี แต่ชายและหญิงที่ไม่ค่อยทำกิจกรรมอะไรเมื่อมีเวลาว่างกลับพบว่า telomere ในเม็ดเลือดขาวจะสั้นกว่าคนที่หาอะไรทำเป็นประจำ

เมื่อตรวจสอบดัชนีมวลร่างกาย พฤติกรรมการสูบบุหรี่ สถานภาพทางการเงินในสังคม และการขยับเขื้อนในช่วงวันทำงาน จะพบว่าความยาวของ telomere ในเม็ดเลือดขาวสัมพันธ์กับกิจกรรมของร่างกายอย่างเห็นได้ชัด โดยผู้เขียนกล่าวว่า ค่าเฉลี่ยความแตกต่างระหว่างความยาว telomere ของลิวโคไซต์ระหว่างผู้ที่กระตือรือร้นที่สุด (โดยเฉลี่ยเป็นผู้ทำกิจกรรมรวมแล้ว 199 นาทีต่อสัปดาห์) และผู้ที่หาอะไรทำน้อยที่สุด (โดยเฉลี่ยเป็นผู้ทำกิจกรรมรวมแล้ว 16 นาทีต่อสัปดาห์) คิดเป็น 200 นิวคลีโอไทด์ ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ขยันที่สุดมีความยาวของ telomere เท่ากับของผู้ที่นั่งนอนอยู่เสมอเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และให้ผลเช่นเดียวกันเมื่อทดลองเพิ่มเติมในฝาแฝดที่มีระดับการทำกิจกรรมต่างกัน

นอกจากนั้นยังพบว่าผู้ที่นั่งนอนเป็นประจำจะมีระดับอนุมูลอิสระสูงกว่าคนที่ขยันหาอะไรทำ การเกิดอนุมูลอิสระเป็นการที่เซลล์เสียหายจากการได้รับออกซิเจนซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกับที่เซลล์ใช้ต่อสู้เชื้อโรค และที่สำคัญยังพบว่าระดับความเครียดก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความยาวของ telomere เช่นเดียวกัน แต่กิจกรรมของร่างกายอย่างการออกกำลังกายจะช่วยลดความเครียดของเราได้ดังนั้นจึงส่งผลช่วยลดการสั้นลงของ telomere และการแก่ชราได้ครับ

ทั้งนี้จึงแนะนำให้ท่านผู้อ่านหาอะไรทำอย่างต่อเนื่องแบบที่เรียกว่า moderate-intensity physical activity อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์จึงจะเห็นผลครับ เช่น การเดินเร็วติดกัน 1.5 ไมล์ (2 กม.) วาดรูป, เดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟท์ ,เดินขึ้นบันไดเลื่อน,ทำงานบ้าน 2 เท่าตัวและทำสวน เป็นต้น
หากคุณเป็นคนที่ค่อนข้างจะเกียจคร้านอยู่สักหน่อย ลองแบ่งเวลาซัก 10 หรือ 15 นาทีมาลองทำดูครับแล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาจนเป็น 30 นาที 

ส่วนเด็ก ๆ และผู้ที่มีอายุน้อยควรจะทำการออกกำลังกายแบบปานกลางถึงแบบหนักๆ ต่อเนื่องกันนาน 60 นาทีทุกวันและควรออกกำลังกายอย่างน้อย 2 สัปดาห์ต่อครั้งเพื่อช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูก เช่น การเต้น และการกระโดดเชือก

เพียงเท่านี้ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายและช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ไม่ยากอย่างที่คิดใช่มั้ยละครับเพราะคนส่วนใหญ่มักเชื่อว่าต้องออกกำลังกายอย่างหนักเท่านั้นจึงจะเป็นประโยชน์ แต่ที่จริงแล้วเพียงแค่เราหาอะไรทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและรู้สึกอบอุ่นก็ล้วนมีประโยชน์ทั้งนั้น คราวนี้คุณก็สามารถพูดคุยขณะนั่งวาดรูปเล่นได้โดยไม่ต้องหอบแล้วล่ะครับ

ผู้ใหญ่ที่ออกกำลังกายเป็นประจำจะดูอ่อนวัยกว่าผู้ที่นั่งนอนอยู่เสมอ ข้อสรุปนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการนำไปใช้ต้านความแก่ชรา

หากคุณกำลังจะเริ่มต้นหาอะไรทำอย่างลืมเคล็ดลับ 4 ข้อนี้นะครับ

1.เตรียมร่างกายให้พร้อมเสมอ เช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง ว่าน้ำ ปั่นจักรยานบ่อย ๆ 
2.สนุกกับมัน 
3.ตั้งเป้าไว้แล้วทำให้ได้
4.สุดท้ายอย่าลืมสั่งสมองของเราให้ตื่นตัวอยู่เสมอ


ไปหน้าแรก  เคล็ดลับการดูแลสุขภาพ



รับประทานอาหารให้ถูกหลักช่วยตับขับสารพิษ

ช่วย "ตับ" ขับพิษด้วยอาหาร 

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ตับ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ขับสารพิษออกจากร่างกาย ดังนั้น การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพตับเป็นประจำจะช่วยแบ่งเบาภาระให้ตับได้ ซึ่งการที่ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพย่อมส่งผลให้ร่างกายมีพลังมากขึ้น


นอกจากหน้าที่ในการขับสารพิษแล้ว ตับยังช่วยในกระบวนการย่อยอาหารและเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายต้องการตับที่แข็งแรงจะส่งผลให้มีสุขภาวะที่ดี เพราะตับช่วยลดการติดเชื้อ โดยช่วยขจัดของเสียออกจากร่างกาย เราจึงต้องดูแลตับด้วยการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์เสียแต่วันนี้

อาหารอันดับต้นๆ ที่ช่วยตับในการล้างพิษได้แก่ กระเทียม หัวหอม มะนาว ผักใบเขียว ดอกกะหล่ำและกะหล่ำปลี เพราะจะทำให้สารพิษที่เจือปนมากับอาหารอื่นนั้นมีสภาพเป็นกลาง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการผลิตน้ำดีซึ่งช่วยทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้รวมถึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงได้แก่ องุ่น ส้ม แคนตาลูป มะละกอ พรุน ลูกเกด ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ จะช่วยปกป้องตับจากสารอนุมูลอิสระที่จะมีปริมาณสูงขึ้นในกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย

นอกจากนี้อาหารที่มีวิตามินบีสูงอย่างธัญพืชที่ไม่ขัดสีต่างๆ และผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี อย่างพืชที่มีรสเปรี้ยวและผักใบเขียวทั้งหลาย จะช่วยในกระบวนการล้างพิษของตับ ส่วนอาหารที่เป็นพี่เลี้ยงช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของตับ ได้แก่ "เลซิติน" ซึ่งมีมากในไข่แดง ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เนื้อปลา ส่วน "ธาตุสังกะสี" ที่มีมากในเนื้อสับ ถั่วขาว เนื้อไก่และหอยนางรมก็ช่วยให้ตับทำหน้าที่ได้ดีขึ้น

หากจะดูแลรักษาตับอย่างเห็นผลก็ไม่ควรทานอาหารที่มีไขมันสูง เพราะตับสามารถผลิตคอเลสเตอรอลได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว สิ่งสำคัญในการป้องกันอันตรายให้แก่ตับ และเพื่อหลีกเลี่ยงโรคตับแข็ง ก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อให้อวัยวะหนึ่งเดียวนี้ช่วยขับพิษให้ร่างกายได้อีกนาน

ไปหน้าแรก  เคล็ดลับสุขภาพ