นอนไม่หลับ ปัญหาระดับโลก

ศูนย์กลางนอนหลับแห่งลอนดอน การนอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิทนั้นจากการติดตามผู้คนอย่างน้อยหนึ่งคนหรือมากกว่านั้นมีปัญหาหลับยากตื่นนอนเร็วเกินไปทำให้ไม่สดชื่นในตอนเช้า 


จากแบบสำรวจออนไลน์ สามารถจำแนกประเภทการนอนได้ดังนี้ 

นอนหลับยาก : คุณจะรู้สึกว่าต้องพยามเพื่อให้หลับ โดยปกติคนเราจะใช้เวลาประมาณ 1-20 นาทีเพื่อนอนหลับ แต่ผู้ที่ไม่นอนหลับจะใช้เวลา ครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น 

นอนไม่หลับเป็นประจำ : คุณมีปัญหากับการนอนไม่หลับตลอดเวลา และรู้สึกตัวระหว่างคืนและตื่นขึ้นมาเป็นเวลา ครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น  

นอนไม่หลับชั่วคราว : คุณมีปัญหาในการนอนไม่กี่คืน
นอนไม่หลับระยะสั้น : คุณมีปัญหากับการนอนหลับไม่ถึงเดือน
นอนไม่หลับเรื้อรัง : คุณมีปัญหากับการนอนหลับกว่าหนึ่งเดือน ดร.ไนล์ สแตนลีย์ ผู้เชียวชาญด้านการนอนหลับของ มหาวิทยาลัยนอร์โฟล์คและนอริช  กล่าวว่าประเภทของการนอนไม่หลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

เขาเชื่อว่าผู้ที่นอนไม่หลับเรื้อรัง 2 ใน 3 ของผู้ที่มีการนอนหลับแย่มากกว่าหนึ่งคืน เพราะมีความเครียดสูงในชีวิตประจำวัน  

เข้าใจวงจรของการนอน การนอนหลับมี 2 ประเภทหลัก หลับลึก(REM) และหลับแบบตื้น (NREM) 

การหลับแบ่งเป็นระยะ ดังนี้ ระยะแรก คึ่งหลับครึ่งงตื่น ระยะต่อมา คือหลับแบบตื้นๆ ระยะที่ 3-4 คือหลับลึกเป็นการเคลื่อนไหวตาแบบช้าๆและระยะสุดท้ายจะเคลื่อนไหวตาแบบรวดเร็ว  การนอนหลับลึกจะมีเวลาประมาณ 90 นาที ในหนึ่งวงจรและผู้ใหญ่จะมี4-6 วงจรในแต่ละคืน  

การนอนจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของคุณคุณได้ 

ในระหว่างขั้นตอนคลื่นสมองและการหายใจช้าและความดันโลหิตและอุณหภูมิของร่างกายต่ำ ไตของคุณจะลดการผลิตปัสสาวะ ร่างกายจะปลดปล่อยโกรว์ธฮอร์โมนซึ่งจะช่วยซ่อมแซมและบำรุงรักษาระบบภูมิคุ้มกันร่างกายและเนื้อเยื่อ ด้วยเหตุนี้จึงการหลับลึกที่ไม่เพียงพอส่งผลเสียต่อผิว ผมและความสามารถต่อการสู้กับติดเชื้อ
 

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าการบำบัดด้วยสมุนไพรถูกยอมรับ ยาบ้างประเภทหาหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาเช่น  ไดเฟนไฮดรามีนและโปรเมทาซีน เดิมเป็นยาแก้แพ้ แต่ส่งผลให้รู้สึกง่วงระหว่างวัน อย่างไรก็ตามการใช้ยานอนหลับควรปรึกษาแพทย์ ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางโรคไม่ควรใช้ยานอนหลับ เช่น โรคต้อหิน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มีปัญหาเรื่องต่อมลูกหมากหรือเกี่ยวกับปัสสาวะ หากคุณสงสัยควรปรึกษาแพทย์ 

ยานอนหลับสำหรับการแก้ปัญหาในระยะสั้น การใช้ยานอนหลับนั้นช่วยได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวไม่สามารถจะช่วยได้ การกินยานอนหลับไม่ได้รักษาถึงต้นตอของการนอนไม่หลับ เป็นเพียงการรักษาอาการที่เห็นเท่านั้น มันจะทำให้เพิ่มระยะเวลาของขั้นครึ่งหลับคึ่งตื่นเพิ่มขึ้น แต่จะลด ขั้นหลับลึกลดลง

ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ จิม ฮอร์น  ผู้อำนวยมหาวิทยาลัยลัฟเบอเรอะ ศูนย์การวิจัยการนอนหลับ กล่าวว่า การใช้ยานอนหลับไม่กี่สัปดาห์ผู้ใช้จะนอนได้ไม่เกิน 20 นาที ในบางรายก็นอนได้น้อยกว่านั้น และจะนอนได้ลดลงเหลือเพียง 15 นาที แพทย์จึงควรสร้างหลักสูตรระยะสั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งยา 


เคล็ดไม่ลับของสาว ๆ ที่อยากมีสะโพกสวยได้สัดส่วน


ลองทำตามขั้นตอนง่าย ๆ ต่อไปนี้ แล้วคุณจะมีบั้นท้ายที่กลมกลึง

วิธีแรก ควรหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นแอโรบิคการวิ่ง ปั่นจักรยาน การบริหารเฉพาะส่วน ฯลฯ เป็นวิธีที่ช่วยให้สะโพกสวย แน่น และกระชับมากขึ้น คนอ้วน หรือผอมก็สามารถใช้วิธีนี้ได้

วิธีที่สอง ควบคุมอาหาร แต่ไม่ใช่อดอาหารนะคะ เลือกรับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์มากกว่ารับประทานตามใจปาก ควรทานให้ครบทั้ง 3 มื้อ และหยุดทันทีถ้ารู้สึกอิ่ม ลดอาหารจำพวกที่ให้พลังงานสูง และอาหารรสจัด หวานจัด มันจัด ควรดื่มนมที่พร่องมันเนย ของขบเคี้ยว ให้เลือกทานประเภทพืชเปลือกแข็งแทน เช่น ถั่ว เม็ดแตงโม ฯลฯ

วิธีที่สาม การนวด การนวดมีประโยชน์มากกับขาช่วงต้นขาด้านบน ด้านหน้าและหลัง โดยเฉพาะช่วงต่อจากก้นลงมา เพราะถ้าบริเวณนี้มีไขมันมากจะทำให้สะโพกห้อยและย้อยได้ นอกจากนี้การนวดยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต รวมทั้งกำจัดของเสียและไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังด้วย

ข้อแนะนำสำหรับการนวดที่ดี คือ ให้ใช้ครีมที่ใช้ขจัดไขมันใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการนวด ควรเป็นตอนก่อนนอน หลังอาบน้ำในตอนเช้า หรือก่อนทานอาหารหนึ่งชั่วโมง ควรใช้ครีมนวดติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ถ้าใช้ ๆ หยุด ๆ จะไม่เห็นผล และหยุดใช้ครีมนวดทันทีถ้าเกิดอาการแพ้

วิธีที่สี่ การขัดผิว จะช่วยในเรื่องของการแตกลาย จุดด่างดำ ผดผื่นแดง และรอยหยาบกร้านให้หมดไป คุณสามารถขัดผิวได้ด้วยตัวเองโดยใช้น้ำมันขัดผิวที่ทำขึ้นเองแบบง่าย ๆ และประหยัด โดยนำเกลือเม็ดใส่ลงในขวด กะปริมาณตามที่ต้องการใช้ จากนั้นเติมน้ำมันมะกอกลงไป สังเกตุให้เกลือดูดซึมน้ำมันจนหมดอย่าให้แห้ง หรือเปียกเกินไป เติมน้ำหอมกลิ่นที่คุณชอบลงไปสัก 2-3 หยด จะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นในขณะที่ขัดผิวให้ขัดเป็นวงกลมในบริเวณที่เกิดรอยหยาบกร้าน

วิธีสุดท้าย การเสริมแต่งด้วยชุดชั้นใน เป็นวิธีที่กำลังมาแรงและง่ายที่สุด ผู้หญิงยุคใหม่ที่อยากมีสะโพกสวยมักหันไปพึ่งชุดชั้นใน (INNERWEAR) แทน เพื่อช่วยเสริมบุคลิกภาพที่ดีแก่ผู้สวมใส่ จะช่วยจัดทรงให้แก่ผู้สวมใส่ เน้นรูปร่างสัดส่วนมากขึ้น ไม่ว่าหน้าอก เอว หน้าท้อง สะโพก

ไปหน้าแรก  การดูแลสุขภาพ



มาดู 10 ขั้นตอนง่ายๆ ช่วยลดอาการเครียด

อาการเครียด

สำหรับวิธีหรือเครื่องมือที่จะช่วยในการผ่อนคลายความตึงเครียดได้นั้น สามารถทำได้โดยวิธีง่ายๆ 10 วิธี ได้แก่

1. การใช้ชีวิตให้ช้าลง ความเร่งรีบของชีวิตเป็นสาเหตุ ใหญ่ของความเครียดในปัจจุบัน ถ้าสามารถวางแผนตารางชีวิตได้ เหมาะสม ความเร่งรีบและความเครียดจะลดลงตามไปด้วย

2. ออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นประจำ เช่น เดินเร็ว, วิ่งเหยาะ, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ จะช่วยเพิ่มปริมาณเลือดไปเลี้ยงสมอง สมองจะหลั่งฮอร์โมนความสุข ให้จิตใจโปร่งเบา และสบาย

3. เข้านอนหัวค่ำตื่นแต่เช้าจะส่งผลให้จิตใจและสมองสดชื่นแจ่มใส

4. ฝึกหายใจลึกและช้า อัตราการหายใจไม่เกิน 10  ครั้งต่อนาที  จะช่วยจิตผ่อนคลายได้มาก

5. ฝึกชี่กง ไทเก็ก โยคะ จิตใจจะจับจ้องจดจ่อสอดคล้องกับช่วงจังหวะการหายใจ ทำให้จิตใจสงบนิ่ง

6. ฝึกยิ้ม หัวเราะ การมีอารมณ์ขันจะช่วยให้เรามีอารมณ์ดี

7. ฝึกสมาธิช่วย ให้จิตสงบ คลื่นสมองจะช้าลงและมีระเบียบมากขึ้น

8. การใช้ศิลปะบำบัด เช่น ร้องเพลง, เล่นดนตรี ฯลฯ ทำให้จิตใจผ่อนคลาย

9. รับพลังธรรมชาติ ไปสัมผัสแสงแดดและธรรมชาติ เติมพลังทั้งใจและกาย วิธีสุดท้ายที่

10. สวดมนต์ อธิษฐานจิต จะเป็นพลังจิตที่ช่วยให้เราสงบ เย็น และเป็นสุข

ไปหน้าแรก  การดูแลสุขภาพ


ความจริงที่น่ารู้กับอาการนอนกรน


อาการนอนกรน


  1. อาการนอนกรน เป็นปัญหาของการนอนหลับ ที่พบบ่อยในคนอายุ 30-35 ปี ซึ่งมักจะเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน ผนังคอหนา เนื้อเยื่อในช่องคอ หย่อนตัวขณะนอนหลับ

2. ประมาณร้อยละ 20 เป็นเพศชาย และร้อยละ 5 เป็นเพศหญิง และอาการ นอนกรนจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น

3. เสียงกรนเกิดจากการที่อากาศเคลื่อนผ่านทางเดินหายใจที่แคบ ซึ่งมักเกิดจากการผ่อนคลายหรือหย่อนตัวของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจส่วนบนขณะนอนหลับ เช่น กล้ามเนื้อบริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ ผนังคอหอย หรือโคนลิ้น ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนและสะบัดของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อนในบริเวณนั้นเกิดเป็นเสียงกรนขึ้น

4. การอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนจากต่อมทอนซิลและต่อมอดีนอยด์ที่โต ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการนอนกรนที่สำคัญในเด็กหรือเนื้องอกหรือซีสต์ (Cyst)   ในทางเดินหายใจส่วนบนหรือการที่มีโพรงจมูกอุดตันจากหลายสาเหตุ เช่น อาการคัดจมูกจากโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ผนังกั้นช่องจมูกคด เนื้องอกในโพรงจมูกและ/หรือโพรงอากาศข้างจมูก ริดสีดวงจมูก ไซนัสอักเสบ ก็เป็นสาเหตุที่ให้เกิดอาการนอนกรนได้เช่นกัน

5. อาการนอนกรนจึงไม่ใช่เรื่องปกติ แต่กลับบ่งบอกถึงการมีสิ่งอุดกั้นในระบบ ทางเดินหายใจส่วนบน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea) เป็นภาวะที่มีการอุดกั้นในทางเดินหายใจมากจนกระทั่งทำให้เกิดการหยุดหายใจเป็นช่วงๆขณะนอนหลับได้ ใครมีปัญหาควรรีบปรึกษาแพทย์

6. การนอนกรนอาจส่งผลให้ง่วงมากผิดปกติในเวลากลางวัน ทำให้เรียน หรือทำงานได้ไม่เต็มที่ ถ้าต้องขับรถอาจเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ นอกจากนั้น จะมีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคอื่นๆ ได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคความดันโลหิตในปอดสูง โรคหลอดเลือดในสมอง

7. ลักษณะทั่วไป ที่อาจส่งเสริมให้เกิดอาการนอนกรนขณะหลับได้ เช่น คอสั้น อ้วน น้ำหนักมาก มีความผิดปกติในลักษณะโครงสร้างของใบหน้า เช่น คางเล็ก ถอยร่นมาด้านหลัง

8. หญิงที่มีรอบคอเกินกว่า 15 นิ้ว และชายที่มีรอบคอใหญ่กว่า 17 นิ้ว เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคนอนกรนได้ พอๆ กับคนที่มีต่อมทอนซิลโต และจมูกอักเสบเนื่องจากโรคภูมิแพ้
 
 " อาการนอนกรนกำลังเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ฮิตที่ไต่อันดับความนิยมที่ไม่น่าชื่นชมทั้งกับคนกรน และคนข้างตัวมากขึ้นทุกวัน ข้อมูลล่าสุดพบว่า สถิติโรคนอนกรนในคนไทย พบในกลุ่มผู้ชายมากถึง 20-30% ส่วนผู้หญิงพบได้ 10-15% โดยเฉพาะคนที่อยู่ในวัยทำงาน คนที่ อาการรุนแรงมากพบได้สูงถึง 5% อาการนอนกรนในวันนี้ ไม่เพียงแค่สร้างความรู้สึกรำคาญ แต่ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญญาณมรณะด้วย เพราะ ในบางคน อาการนอนกรนสื่อถึงการขาดอากาศหายใจในช่วงสั้นๆ ที่อาจทำให้หลับยาวแบบไม่ตื่นฟื้นไม่มีทีเดียว ดังนั้น จึงควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ " 

13 TIPS กำจัดเสียงกรน

1. ดื่มน้ำผึ้งผสมน้ำหนึ่งช้อนโต๊ะก่อนนอน

2. อย่ารับประทานอาหารหนัก สามชั่วโมงก่อนนอน กระเพาะที่เต็มไปด้วยอาหารจะส่งผลให้กะบังลมถูกกดทับ ทำให้การเดินลมในร่างกายตีบตัน

3. หลีกเลี่ยงการใช้หมอนนุ่มๆ เพราะจะไปทำให้คอหอยผ่อนคลาย ทำให้ระบบช่องลมไม่ขยาย

4. ปรับความชันของเตียงนอนให้ส่วนหัวสูงขึ้นจากแนวราบสี่นิ้ว จะช่วยผ่อนการ กดทับของลิ้น และกราม ส่งผลให้ลดอาการกรนระหว่างหลับ

5. นอนตะแคง จะช่วยลดและผ่อนคลายความดันในช่องทางเดินอากาศที่เกิดจากการมีน้ำหนักมากเกินไปได้ แต่ถ้าไม่ชินกับการนอนตะแคง อาจใช้ลูกเทนนิส 2-3 ลูก เปลือกถั่วใส่ถุง หรือกระเป๋าวางไว้ด้านหลัง ลูกบอลหรือเปลือกถั่วเหล่านี้จะช่วยให้ไม่พลิกตัวไปนอนหงายได้

6. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาบางชนิด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับ และยาแก้แพ้ต่างๆ เป็นตัวทำให้การหายใจช้าลง และตื้นขึ้น กล้ามเนื้อหย่อนคลายลงมากกว่าปกติ จึงมีแนวโน้มได้มากว่าโครงสร้างลำคอจะอุดตันช่องทางเดินอากาศได้ง่าย เป็นสาเหตุให้เกิดอาการนอนกรน

7. ลดน้ำหนัก ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่สุดสำหรับผู้ที่มี น้ำหนักตัวมากผิดปกติ ทำให้การหายใจเป็นไปได้อย่างยากลำบาก การลดน้ำหนักสามารถช่วยได้ แต่หมายถึงลดให้ใกล้เคียงกับน้ำหนักตามสัดส่วน

8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังสามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยที่สุด ทั้งยังช่วยปรับสภาพกล้ามเนื้อ และทำให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น

9. กำจัดปัจจัยในที่นอนที่ทำให้เกิดอาการหอบหืดภูมิแพ้ เช่น ไร ฝุ่น ขนสัตว์ จะช่วยลดอาการคัดจมูกได้ด้วย

10. เพื่อป้องกันการนอนหงาย (แล้วจะกรน) อาจจะนำเอาลูกเทนนิส 2-3 ลูกมาใส่ถุงผ้าแล้วเย็บติดกับเสื้อที่ใส่นอน เวลานอนจะทำให้นอนหงายลำบาก เราจะต้องนอนตะแคงตัวไปเอง เป็นอุปกรณ์กันการนอนกรนแบบประหยัด

11. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือสัมผัสควันบุหรี่

12. ใช้เครื่องมือที่เป่าลมเข้าไปในทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้นหรือไม่อุดกั้นขณะนอนหลับ

13. หากเป็นมากต้องไปหาหมอ จะมีการตรวจหาความผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ (ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ) และอาจมีการรักษาโดยการใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือการผ่าตัด แล้วแต่หมอจะเห็นเหมาะสม


ไปหน้าแรก  การดูแลสุขภาพ


มาดูการปกป้องตัวเองให้ห่างไกลจากมะเร็งปากมดลูก

ปกป้องตัวเองจากมะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก

รู้หรือไม่ว่า...มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคมะเร็งอันดับหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงเสียชีวิต แต่ผู้หญิงจำนวนมากกลับเพิกเฉย คิดว่าตัวเองไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง เพราะมีคู่รักคนเดียว จึงหลีกเลี่ยงการไปขึ้นขาหยั่งให้หมอตรวจคัดกรองเชื้อมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำทุกปี

คลิค เรดิโอ จึงได้ร่วมกับสมาคมมะเร็งนรีเวชไทย และสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ทำโครงการ "ผู้หญิงปกป้องผู้หญิงจากมะเร็งปากมดลูก" เพื่อรณรงค์ให้ความรู้ ความเข้าใจ และวิธีการป้องกัน เพื่อกระตุ้นให้หญิงไทยลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองแต่เนิ่น ๆ พร้อมบอกต่อให้คนที่รักได้ปกป้องตัวเองเช่นกัน

กิจกรรมนี้จะเริ่มจากช่วงพูดคุยในดีว่าส์ ทอล์ก (Divas Talk) ทางคลิค เรดิโอ FM 102.5 เพื่อแชร์ประสบการณ์ รวมทั้งการให้ความรู้จากสูตินรีแพทย์ของสมาคมมะเร็งนรีเวชไทย พร้อมด้วยสกู๊ปวิทยุให้ความรู้ การให้ข้อมูลและแชร์ประสบการณ์ออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.womenprotectwomen.com การจัดโรดโชว์เพื่อจำหน่ายโปสต์การ์ดสำหรับส่ง ข้อมูล และบอกต่อให้กับเพื่อนผู้หญิงอื่น ๆ เพื่อเผยแพร่ความรู้ กระตุ้นให้เลิกเพิกเฉย และคิดว่าตนเองไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงที่จะปกป้องตัวเองจากโรคมะเร็ง ปากมดลูก



อย่าประมาทกับตู้เอทีเอ็มที่สกปรกเกือบเท่าห้องน้ำ

ตู้เอทีเอ็มสกปรกเกือบเท่าห้องน้ำ


เทียบดูระหว่างหูโทรศัพท์กับที่นั่งส้วม และลูกบิดของประตูห้องน้ำกับปุ่มกดของตู้เอทีเอ็ม อันไหนน่าสกปรกด้วยเชื้อโรคมากกว่ากัน จากการสำรวจความเห็นทั่วประเทศของผู้ใหญ่ 1,000 คนในสหรัฐอเมริกาทางโทรศัพท์ โดยมหาวิทยาลัยอริโซนา ให้เทียบความสกปรกของพื้นผิวสิ่งต่างๆ อันไหนสกปรกมากกว่ากัน ปรากฏผลสำรวจตรงข้ามความจริง ที่พบว่าส่วนที่สกปรกเต็มไปด้วยเชื้อโรคมากที่สุดอยู่กันตามอุปกรณ์ในสนามเด็กเล่น หูฟังโทรศัพท์ ตู้เอทีเอ็ม และแม้กระทั่งปุ่มกดในลิฟต์ ตามความเห็นของคนทั่วไปยังหลงผิดกันอยู่มาก
       
     อย่างเช่นมากถึง 64% เชื่อว่าลูกบิดประตูห้องน้ำต้องมีเชื้อโรคอยู่มากกว่าปุ่มกดของตู้เอทีเอ็ม ความจริงปุ่มของตู้เอทีเอ็มมีเชื้อโรคอยู่มากกว่า เนื่องจากโดนมือคนถูกต้องไม่รู้ว่ามากกว่าเท่าไรต่อเท่าไร
       
       คนอีก 75% ยังเชื่อว่า ที่นั่งของส้วมตามร้านอาหารต้องมีเชื้อโรคยุบยับยิ่งกว่าที่นั่งส้วมบนเครื่องบิน ความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม และผลของการสำรวจกับของจริง พบว่าหูโทรศัพท์สกปรกยิ่งกว่าที่นั่งส้วม และแหล่งที่มีเชื้อโรคชุกชุมอื่นๆ ยังได้แก่ บนโต๊ะทำงาน แป้นพิมพ์ ปุ่มกดในลิฟต์ และราวบันไดเลื่อนด้วย

เลือกกินอาหารอย่างไรให้ถูก เมื่อเป็นโรคกระเพาะ

แต่ก่อนนี้ถ้าใครเป็นโรคกระเพาะถือว่าโชคร้ายเพราะ เป็นแล้วรักษาหายยาก แต่เมื่อรู้สาเหตุที่แท้จริงแล้วโรคกระเพาะรักษาไม่ยาก และปัจจุบันโรคกระเพาะสามารถรักษาให้หายได้ภายในเวลา 2-4 สัปดาห์ด้วยยาปฎิชีวนะและยาลดกรดเป็นหลัก

โรคกระเพาะ


สาเหตุของโรคกระเพาะ

             ก่อนนี้ความเครียดกินอาหารผิดเวลาอยู่เป็นนิจและอาหารรสเผ็ดจัดจะถูกจัดเป็นสาเหตุสำคัญของโรคกระเพาะ แต่ปัจจุบันวงการแพทย์ปะจักษ์กันดีกว่าตัวสาเหตุที่แท้จริงคือเชื้อแบคทีเรีย ที่มีลักษณะเหมือนเกลียวจุกคอร์ก ชื่อว่าเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร เรียกย่อๆว่าเอช.ไพโลไร (H.pylori)เป็นตัวที่ทำให้กระเพาะเป็นแผลอักเสบ

             นอกจากเชื้อแบคทีเรียที่ว่ายังมีสาเหตุรองอื่นๆของโรคกระเพาะ คือการใช้ยาแก้ปวดประเภทแอสไพริน หรือยาประเภทสเตียรอยด์ซึ่งใช้รักษาโรคข้ออักเสบหรือยาประเภทต้านการอักเสบ เรียกย่อๆว่า "เอ็นเสดส์" (NSAIDS) = Nonsteroidal anti-imflamatory) การใช้ยานี้เสมอๆอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคกระเพาะในคนที่ติดเชื้อเอช.ไพโลไรได้ นอกจากนี้ผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็จะเพิ่มความเสี่ยงโรคกระเพาะ เพราะสารนิโคตินในบุหรี่เพิ่มปริมาณกรดและความเข้มข้นของกรดในกระเพาะ และในคนที่เป็นโรคอยู่แล้ว แต่ไม่ยอมเลิกบุหรี่ก็จะทำให้การรักษาได้ผลน้อย

โภชนบำบัดสำหรับโรคกระเพาะ

สมัยก่อนเมื่อยังไม่ทราบสาเหตุของโรคกระเพาะอาหารที่ใช้รักษาโรคกระเพาะคือ ซิปปี้ไดเอ็ท (Sippy diet) ซึ่งใช้นมและอาหารประเภทครีมเป็นหลัก ซึ่งแพทย์สมัยนั้นเชื่อว่าจะช่วยเคลือบแผลในกระเพาะหรือลำไส้ แต่ปัจจุบันพบว่าอาหารดังกล่าวกลับทำให้อาการโรคกระเพาะแย่ลง เนื่องจากแคลเซียมในนมกระตุ้นการหลั่งของกรดทำให้แผลในกระเพาะหายช้าเข้าไปอีก

ปัจจุบันอาหารไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะช่วยรักษาโรคกระเพาะ แต่จะใช้ยาเป็นหลักอาหารจะเป็นปัจจัยเสริมที่ใช้รักษาร่วมกับยาเพื่อลดอาการ

หลักโภชนบำบัดในปัจจุบัน คือ การกินอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่อย่างสมดุล เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน เพื่อช่วยรักษาเนื้อเยื่อแผลในกระเพาะให้หายเร็วขึ้น และเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นการหลั่งของกรดมากเกินไป มีปัจจัยหลายประการที่เกี่ยวข้องกับนิสัยการบริโภคที่ผู้มีปัญหาโรคกระเพาะต้องปรับเปลี่ยนดังนี้

กินอาหารเป็นเวลา กินน้อยๆวันละ4 ถึง 5 มื้อ ไม่กินจุบจิบโดยเฉพาะก่อนนอน เพราะทุกครั้งที่อาหารตกถึงท้องจะ กระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะ
ปริมาณอาหาร ไม่กินอิ่มมากเกินไป มิฉะนั้นจะมีกรดหลั่งออกมามากเกินควร
เลี่ยงการดื่มนมบ่อยๆ นอกจากนี้ ผู้ที่มีปัญหาการย่อยน้ำตาลในนม (แลคโตส) อาจเกิดอาการท้องอืด มีแกส ปวดท้อง ท้องเสียได้เพราะระบบย่อยขาดเอ็นไซม์แลคเตสซึ่งใช้ย่อยน้ำตาลนม
ระวังการใช้เครื่องเทศรสเผ็ดจัด เช่น พริกต่างๆ กินเท่าที่ระบบย่อยของตัวเองจะรับได้โดยไม่เกิดอาการ ตัวคุณเองเท่านั้นที่จะบอกได้

กินอาหารที่มีกากใยสูง เช่นผัก ผลไม้ และธัญพืช โดยเฉพาะใยอาหารประเภทละลายน้ำ เช่น กล้วย มะละกอ แอปเปิล ซึ่งมีใยอาหารชนิดเพคตินมาก ช่วยป้องกันโรคกระเพาะและมะเร็งในกระเพาะอาหาร นักวิจัยพบว่าในกล้วยมีสารชนิดหนึ่งซึ่งช่วยกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลใน กระเพาะอาหารทำให้กระเพาะแข็งแรงขึ้น ทนต่อกรดได้ดี

กินผักใบเขียวจัดให้มากขึ้น เนื่องจากผักใบเขียวจัดมีวิตามินเคสูง ช่วยให้แผลในกระเพาะหายเร็วขึ้น ป้องกันเลือดออกในกระเพาะ ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร มีข้อมูลรายงานว่าผู้ที่มีโรคกระเพาะมักพบการขาดวิตามินเค ผักสีเขียวจัดบางชนิดเช่นบร็อคโคลี มีสารซัลโฟราเฟน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะอ่อนๆ นักวิจัยพบว่าสารสะกัดซัลโฟราเฟน ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะเชื้อเอช.ไพโลไร และอาจป้องกันมะเร็งได้

ผักผลไม้ที่มีเบตาแคโรทีนสูง เช่น แครอท ฟักทอง ผักใบเขียวจัด แคนตาลูป ช่วยป้องกันเยื่อบุกระเพาะและลำไส้ เร่งให้แผลหายเร็วขึ้น การกินผักผลไม้ยังช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ซึ่งช่วยให้แผลในกระเพาะหายเร็วและป้องกันการติดเชื้อ

เลี่ยงกาแฟ รวมทั้งชนิดไม่มีคาเฟอีน เนื่องจากกาแฟกระตุ้นการหลั่งกรดและอาจทำ ให้อาหารไม่ย่อย ชาอาจจะพอรับได้สำหรับบางคนแต่ก็ยังมีส่วนกระตุ้นการหลั่งกรดอยู่ดี แม้จะน้อยกว่ากาแฟก็ตาม
เลี่ยงน้ำส้มน้ำมะนาว ถ้าทำให้ไม่สบายท้อง เนื่องจากกรดไหลย้อนกลับทางทำให้เกิดอาการแสบร้อนในลิ้นปี่

เลี่ยงอาหารทอด อาหารเค็มและน้ำอัดลม
เลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนจัด ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการ ทำให้ไม่สบายท้องได้
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะเบียร์และไวน์ เพราะจะทำให้กระเพาะหลั่งกรดได้มากขึ้น
งดบุหรี่
เคี้ยวช้าๆในเวลากินไม่เร่งรีบ
ควรสังเกตตัวเองว่าอาหารชนิดใดที่ก่อให้เกิดปัญหาในระบบย่อย เพราะการตอบสนองต่ออาหารในแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้แต่อาหารชนิดเดียวกันถ้ากินคนละเวลาร่างกายก็จะตอบสนองต่างกัน
หลีกเลี่ยงความเครียด ถึงแม้ความเครียดจะไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ แต่อาจเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้อาการโรคกระเพาะเลวร้ายลงไปอีกโดยทำให้หายช้า
ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้ยาลดกรดมากเกินควร เนื่องจากกรดในกระเพาะจะช่วยในการย่อยและดูดซึมสารอาหารเช่นเพิ่มการดูดซึม ธาตุเหล็ก แคลเซียม วิดามินบี 12 ลดการเจริญของเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะ แบคทีเรียในอาหารเมื่อตกถึงกระเพาะจะถูกกรดทำลาย จึงช่วยป้องกันแบคทีเรียที่ก่อสารเกิดมะเร็ง การใช้ยาลดกรดมากจึงไม่ดีต่อระบบย่อย

สรุปแล้ว หลักใหญ่ก็คือการมีโภชนาการดี กินอาหารให้หลากหลาย เป็นเวลาสม่ำเสมอ ไม่เร่งรีบในการกิน ระวังอาหารที่กระตุ้นการหลั่งกรดมากเกินควร อย่าทำตัวเป็นคนช่างเครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินยาตามแพทย์สั่งโรคกระเพาะก็จะหายได้